แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้ร้องมีส่วนเป็นเจ้าของทรัพย์อยู่ครึ่งหนึ่ง และไม่ได้ยินยอมให้จำเลยนำทรัพย์ส่วนของผู้ร้องเข้าร่วมจำนองด้วย แต่โจทก์ผู้รับจำนองไม่ทราบ เนื่องจากจำเลยผู้จำนองมิได้แจ้งเรื่องนี้ การจำนองจึงสมบูรณ์และมีผลผูกพัน ทรัพย์จำนองทั้งหมดทุกส่วน เมื่อจำเลยถูกโจทก์ฟ้องบังคับจำนอง และศาลพิพากษาให้บังคับตามสัญญาจำนอง โจทก์ย่อมมีสิทธิ ที่จะบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาได้ ส่วนการที่จำเลย นำทรัพย์ส่วนของผู้ร้องเข้าร่วมจำนองโดยไม่ได้รับความยินยอม ของผู้ร้อง หากเป็นเหตุให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายอย่างไร ผู้ร้องก็ชอบที่จะไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ต่างหาก จะมาร้องขอกันส่วนให้การบังคับคดีมีผลผิดไปจาก คำพิพากษาหาไม่ได้
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากจำเลยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ตามคำพิพากษาโจทก์นำยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 3368 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นสามีจำเลยได้อยู่กินฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส ทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดและขายทอดตลาดไปเป็นจำนวน 550,000 บาทนั้น เป็นทรัพย์สินซึ่งผู้ร้องและจำเลยได้มาระหว่างอยู่กินด้วยกัน ผู้ร้องจึงมีกรรมสิทธิ์อยู่ครึ่งหนึ่ง หนี้คดีนี้มิใช่หนี้รวม ผู้ร้องไม่มีส่วนรู้เห็นด้วย ขอให้กันส่วนแก่ผู้ร้องครึ่งหนึ่งของเงินที่ได้จากการขายทอดตลาด
โจทก์คัดค้านว่า ผู้ร้องมิใช่สามีจำเลยตามกฎหมายและพฤตินัยหนี้ตามคำพิพากษาเป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง ทรัพย์ที่ขายทอดตลาดเป็นของจำเลยผู้เดียวและที่ดินพิพาทได้จำนองเป็นประกันหนี้ทั้งแปลง เมื่อขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้โจทก์จึงมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จากเงินนั้นทั้งหมด ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอกันส่วน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้ากันส่วนและรับเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 3368 พร้อมสิ่งปลูกสร้างกึ่งหนึ่ง โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้แย้งกันแล้วในชั้นนี้ฟังได้ว่า ผู้ร้องกับจำเลยอยู่กินฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ผู้ร้องและจำเลยเป็นเจ้าของร่วมกันในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินที่โจทก์นำยึดเพื่อขายทอดตลาด ปัญหามีว่า ผู้ร้องมีสิทธิร้องขอกันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่โจทก์นำยึดหรือไม่ เห็นว่าการที่ผู้ร้องมีส่วนเป็นเจ้าของทรัพย์พิพาทอยู่ครึ่งหนึ่ง และไม่ได้ยินยอมให้นำทรัพย์พิพาทส่วนของผู้ร้องเข้าร่วมจำนองด้วยนั้น โจทก์ผู้รับจำนองหาได้ทราบเช่นนั้นไม่ เนื่องจากจำเลยผู้จำนองมิได้แจ้งให้ทราบการจำนองจึงสมบูรณ์และมีผลผูกพันทรัพย์จำนองทั้งหมดทุกส่วนเมื่อจำเลยถูกโจทก์ฟ้องบังคับจำนองและศาลพิพากษาให้บังคับตามสัญญาจำนองได้แล้วเช่นนี้โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาได้ ส่วนการที่จำเลยนำทรัพย์ส่วนของผู้ร้องเข้าร่วมจำนองโดยไม่ได้รับความยินยอมของผู้ร้องนั้นหากเป็นเหตุให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายอย่างไร ผู้ร้องก็ชอบที่จะไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก จะมาร้องขอกันส่วนให้การบังคับคดีมีผลผิดไปจากคำพิพากษาหาได้ไม่ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้กันส่วนของผู้ร้องออกให้แก่ผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง