คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5558/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คดีก่อนโจทก์เข้าร่วมกับพนักงานอัยการฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม ป.อ. มาตรา 188 จำเลยที่ 2 เบิกความเท็จต่อศาลศาลพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 โดยไม่ได้หยิบยกเอาคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ขึ้นวินิจฉัย หากแต่ได้วินิจฉัยกับพยานหลักฐานอื่นแล้วเชื่อว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดจริง คำเบิกความของจำเลยที่ 2จึงไม่เป็นข้อสำคัญในคดี จำเลยที่ 2 ไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จ ส่วนจำเลยที่ 1 เข้าเบิกความในฐานะพยานซึ่งเป็นอีกฐานะหนึ่งต่างหากจากการเป็นตัวจำเลยจะยกเอาสิทธิในการต่อสู้คดีของจำเลยมาอ้างเพื่อยกเว้นความรับผิดฐานเบิกความเท็จไม่ได้ และคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าวที่ว่าจำเลยที่ 1 เพียงแต่หยิบเอาภาพถ่ายใบหย่าไป ไม่ได้หยิบเช็คตามฟ้องนั้นเป็นการแสดงว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ฉีกเช็คของโจทก์อันเป็นข้อสำคัญในคดีอาญาดังกล่าวซึ่งจำเลยที่ 1 ถูกฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ฉีกเช็คที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายชำระหนี้ให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานเบิกความเท็จ คดีหลัง จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ในข้อหาลักทรัพย์ ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 นำความเท็จมาฟ้องและเบิกความเท็จว่า โจทก์ลักเอาทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ไปอันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานลักทรัพย์ โดยจำเลยที่ 1 รู้อยู่แล้วว่าข้อความตามฟ้องและที่เบิกความนั้นเป็นเท็จ แม้ศาลได้พิพากษายกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและโจทก์ในคดีดังกล่าวยังไม่อยู่ในฐานะเป็นจำเลย จำเลยที่ 1ยังมีความผิดฐานฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ กฎหมายมิได้บัญญัติว่าเป็นความผิดต่อเมื่อศาลได้ประทับฟ้องไว้แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา83, 91, 175, 177, 181
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคสอง, 181(1), 83, 91 อันเป็นความผิด 2 กรรมต่างกันให้ลงโทษจำคุกกระทงละ 6 เดือน รวม 2 กระทง จำคุกคนละ 1 ปีและจำเลยที่ 1 ยังมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175, 181(1)ให้จำคุกอีก 6 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคสอง, 181(1), 83 กระทงเดียว ให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน แต่ให้รอการลงโทษจำเลยที่ 2 ไว้มีกำหนด 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 วรรคหนึ่ง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า ในคดีก่อนคือคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1168/2528 ของศาลชั้นต้นจำเลยที่ 1ถูกพนักงานอัยการฟ้องในข้อหาทำให้เสียหาย ทำลาย เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ซึ่งเอกสารของผู้อื่นโดยฉีกเช็คจำนวน14 ฉบับ ที่จำเลยที่ 1 ได้ลงนามสั่งจ่ายส่งมอบให้แก่ผู้เสียหายคือโจทก์คดีนี้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 ซึ่งโจทก์ในคดีนี้ได้เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการด้วย ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักและเหตุผลน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดตามฟ้อง ที่จำเลยที่ 1 นำสืบก็มีเพียงแต่อ้างสาเหตุส่วนตัวระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์ แต่ไม่มีเหตุผลที่จะลบล้างให้ศาลเห็นเป็นอย่างอื่นได้ พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 ให้จำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนคดีดังกล่าวถึงที่สุด และจำเลยที่ 1 ได้ฟ้องโจทก์คดีนี้ในข้อหาลักทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ปรากฏตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 321/2530ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดเช่นกัน และศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1เบิกความเป็นพยานในคดีก่อนเป็นเท็จว่า จำเลยที่ 1 เพียงแต่ฉีกภาพถ่ายใบหย่า แล้วถือเอากลับมาที่บ้านไม่ได้หยิบเช็คที่บ้านของโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2 เบิกความเป็นพยานในคดีดังกล่าวว่าตนไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านโจทก์ด้วย คงเห็นตอนจำเลยที่ 1เดินจากบ้านโจทก์มาเข้าบ้านจำเลยที่ 1 โดยเบิกความเท็จว่า เห็นจำเลยที่ 1 ถือกระดาษสีขาว ๆ ลักษณะคล้ายกระดาษถ่ายเอกสารไม่ใช่เช็ค
โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า การที่จำเลยที่ 2 เบิกความเท็จต่อศาลในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1168/2528 ของศาลชั้นต้นว่า เห็นจำเลยที่ 1 ถือกระดาษสีขาวไม่ใช่เช็คออกจากบ้านโจทก์เป็นการเบิกความเท็จอันเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าในคดีดังกล่าวศาลมิได้หยิบยกเอาคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ขึ้นวินิจฉัยแต่อย่างใด หากแต่ได้วินิจฉัยถึงพยานหลักฐานอื่นแล้วเชื่อว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดจริง คำเบิกความของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวข้างต้นจึงไม่เป็นข้อสำคัญในคดี ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จในคดีดังกล่าวชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ส่วนฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อแรกมีว่า การที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 321/2530 ของศาลชั้นต้น โจทก์ซึ่งถูกฟ้องในคดีดังกล่าวยังไม่อยู่ในฐานะเป็นจำเลยที่จะฟ้องอ้างว่าจำเลยที่ 1 นำความเท็จมาฟ้องต่อศาล และการที่ศาลยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ย่อมทำให้การฟ้องคดีดังกล่าวไม่เป็นการฟ้องเท็จ และคำเบิกความตามฟ้องเป็นการเบิกความให้ตรงตามข้อต่อสู้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1168/2528 ของศาลชั้นต้น เพื่อให้ศาลชี้มูลความผิดในคดีที่มีการไต่สวนมูลฟ้อง จึงไม่ใช่ข้อสำคัญในคดีเพราะยังมิได้ยืนยันการกระทำความผิดของจำเลย (โจทก์ในคดีนี้)ถือไม่ได้ว่าเป็นการเบิกความเท็จอันเป็นข้อสำคัญในคดีไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จนั้น เห็นว่า คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 321/2530 ของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ฟ้องหาว่าโจทก์ลักทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ถึงแม้ว่าศาลได้พิพากษายกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและโจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวยังไม่อยู่ในฐานะจำเลย แต่ปรากฏข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาได้ความว่าจำเลยที่ 1 นำความเท็จมาฟ้องและเบิกความเท็จว่า จำเลยในคดีที่ฟ้องนั้นได้ลักทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ไปอันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานลักทรัพย์โดยจำเลยที่ 1 รู้อยู่แล้วว่าข้อความตามฟ้องและที่เบิกความนั้นเป็นเท็จ จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานฟ้องเท็จและเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 และ 177ดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมา กฎหมายมิได้บัญญัติว่าเป็นความผิดต่อเมื่อศาลได้ประทับฟ้องไว้แล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ข้อต่อไปจำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 มีสิทธิเบิกความต่อสู้คดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 คำเบิกความของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1168/2528 ของศาลชั้นต้นไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี เพราะศาลเชื่อพยานหลักฐานของโจทก์ลงโทษจำเลยที่ 1นั้น เห็นว่าในชั้นพิจารณาคดีดังกล่าวจำเลยที่ 1 เข้าเบิกความในฐานะพยานซึ่งเป็นอีกฐานะหนึ่งต่างหากจากการเป็นตัวจำเลย จะยกเอาสิทธิในการต่อสู้คดีของจำเลยมาอ้างเพื่อยกเว้นความรับผิดฐานเบิกความเท็จไม่ได้ และคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าวที่ว่าจำเลยที่ 1 เพียงแต่หยิบเอาภาพถ่ายใบหย่าไป ไม่ได้หยิบเช็คตามฟ้องนั้นเป็นการแสดงว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ฉีกเช็คของโจทก์อันเป็นข้อสำคัญในคดีอาญาดังกล่าว ซึ่งโจทก์เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการจังหวัดเพชรบุรีฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ฉีกเช็คจำนวน 14 ฉบับที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายชำระหนี้ให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานเบิกความเท็จในคดีดังกล่าวด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 3 กระทง กระทงละ 6 เดือน โดยรวมโทษเป็นปีนั้นไม่ถูกต้องศาลฎีกาเห็นควรแก้ไข”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 18 เดือนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share