คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5554/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การส่งเอกสารภาษาต่างประเทศต่อศาล ไม่จำต้องทำคำแปลเป็นภาษาไทยเสมอไป นอกจากศาลสั่งให้ทำคำแปล ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 46 วรรคสาม เมื่อเอกสารดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งแห่งพยานหลักฐานที่รับฟังประกอบกับพยานอื่นที่โจทก์นำสืบ และตามเอกสารมีคำแปลที่เพียงพอแก่การพิจารณาข้อเท็จจริงแล้ว ศาลย่อมรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานของโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงิน 53,577,111.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี จากต้นเงิน 50,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้นแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระหรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้าออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งห้าให้การในทำนองเดียวกันขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงิน 50,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยสำหรับต้นเงิน 11,319,883.19 บาท ในอัตราร้อยละ 5.65 ต่อปี นับแต่วันที่ 5 ถึง 11 กันยายน 2557 แต่ต้องไม่เกิน 12,265.39 บาท และอัตราร้อยละ 10 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 12 กันยายน 2557 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ สำหรับต้นเงิน 11,339,217.38 บาท ในอัตราร้อยละ 5.65 ต่อปี นับแต่วันที่ 8 ถึง 14 กันยายน 2557 แต่ต้องไม่เกิน 12,286.74 บาท และอัตราร้อยละ 10 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 15 กันยายน 2557 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ สำหรับต้นเงิน 12,000,000 บาท ในอัตราร้อยละ 5.65 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 ถึง 17 กันยายน 2557 แต่ต้องไม่เกิน 13,002.74 บาท และอัตราร้อยละ 10 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 18 กันยายน 2557 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ สำหรับต้นเงิน 7,700,000 บาท ในอัตราร้อยละ 5.65 ต่อปี นับแต่วันที่ 12 ถึง 18 กันยายน 2557 แต่ต้องไม่เกิน 8,343.42 บาท และอัตราร้อยละ 10 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 19 กันยายน 2557 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และสำหรับต้นเงิน 7,640,899.43 บาท ในอัตราร้อยละ 5.65 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 ถึง 30 กันยายน 2557 แต่ต้องไม่เกิน 35,483.09 บาท และอัตราร้อยละ 10 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2557 เป็นต้นไปจนชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองห้องชุดเลขที่ 75/38 ชั้นที่ 21 เนื้อที่ประมาณ 283.22 ตารางเมตร ห้องชุดเลขที่ 75/39 ชั้นที่ 21 เนื้อที่ประมาณ 314.25 ตารางเมตร และห้องชุดเลขที่ 75/13 ชั้นที่ 15 เนื้อที่ประมาณ 409.33 ตารางวา อาคารที่ 1 ชื่ออาคารชุดโอเชี่ยน ทาวเวอร์ 2 ทะเบียนอาคารชุดเลขที่ 3/2557 ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 226058 และ 226059 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้าคนใดคนหนึ่งและหรือของจำเลยทั้งห้าออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนเฉพาะส่วนที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไว้พิจารณา ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะในส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 2 ออกจากสารบบความศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินและทำสัญญาชดใช้ความเสียหายตามตั๋วสัญญาใช้เงินกับโจทก์รวม 5 ครั้ง ดังนี้ ครั้งที่ 1 ตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับลงวันที่ 7 สิงหาคม 2557 จำนวนเงิน 11,319,883.19 บาท ถึงกำหนดชำระเงินวันที่ 5 กันยายน 2557 ครั้งที่ 2 ตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับลงวันที่ 8 สิงหาคม 2557 จำนวนเงิน 11,339,217.38 บาท ถึงกำหนดชำระเงินวันที่ 8 กันยายน 2557 ครั้งที่ 3 ตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับลงวันที่ 13 สิงหาคม 2557 จำนวนเงิน 12,000,000 บาท ถึงกำหนดชำระเงินวันที่ 11 กันยายน 2557 ครั้งที่ 4 ตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับลงวันที่ 14 สิงหาคม 2557 จำนวนเงิน 7,700,000 บาท ถึงกำหนดชำระเงินวันที่ 12 กันยายน 2557 และครั้งที่ 5 ตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับลงวันที่ 25 สิงหาคม 2557 จำนวนเงิน 7,640,899.43 บาท ถึงกำหนดชำระเงินวันที่ 24 กันยายน 2557 พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5.65 ต่อปี ทั้งห้าฉบับ เพื่อประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 จำนองห้องชุดเป็นประกัน โดยตกลงว่าหากมีการบังคับจำนองขายทอดตลาดทรัพย์จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ ยินยอมให้ยึดทรัพย์สินอื่น ๆ ชำระหนี้จนครบ นอกจากนี้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 เข้าเป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ก่อนฟ้องโจทก์มีหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้และบอกกล่าวบังคับจำนองส่งไปยังจำเลยทั้งห้าแล้ว แต่จำเลยทั้งห้าไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ว่า จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า ที่จำเลยที่ 1 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินและทำสัญญาชดใช้ความเสียหายตามตั๋วสัญญาใช้เงินมอบให้โจทก์ โจทก์นำพนักงานผู้ทำหน้าที่ดูแลการให้สินเชื่อแก่จำเลยที่ 1 และผู้ตรวจสอบรวบรวมเอกสารเกี่ยวกับการให้สินเชื่อรายนี้มาเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ได้รับสินเชื่อหลายวงเงินและหลายประเภท เกี่ยวกับคดีนี้เป็นสินเชื่อหมุนเวียนวงเงิน 50,000,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 ขอกู้เงินระยะสั้นโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงินและทำสัญญาชดใช้ความเสียหายเพื่อนำไปชำระหนี้เดิมที่ค้างอยู่กับโจทก์ ซึ่งตามสัญญาชดใช้ความเสียหายระบุว่า จำนวนเงินกู้ให้โอนเข้าบัญชีเลขที่ 7703-3-01xxx-x ของจำเลยที่ 1 และฝ่ายปฏิบัติการสินเชื่อเป็นผู้ที่นำเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ 1 สำหรับการโอนเงินเข้าบัญชีนายธวัชชัย ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบและรวบรวมเอกสารหนี้ของจำเลยที่ 1 คดีนี้ เป็นพยานเบิกความว่า จากการตรวจสอบหนี้คดีนี้มีการโอนเงินเข้าบัญชีซึ่งเป็นบัญชีกระแสรายวันเลขที่ 703-3-01xxx-x มีชื่อของจำเลยที่ 1 ดังระบุไว้ในสัญญาชดใช้ความเสียหายแล้ว ซึ่งมีรายละเอียดตามรายการเคลื่อนไหวบัญชีหรือสเตทเม้นท์ที่พยานโจทก์เบิกความเกี่ยวกับการโอนเงินกู้ตามจำนวนเงินในตั๋วสัญญาใช้เงินเข้าบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 เป็นไปตามวิธีการจ่ายเงินกู้ที่ระบุในสัญญาชดใช้ความเสียหายตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ข้อ 1 ซึ่งมีข้อตกลงว่า เมื่อธนาคารดำเนินการจ่ายเงินตามวิธีการที่ผู้กู้ระบุไว้แล้ว ผู้กู้ตกลงให้ถือว่าผู้กู้ได้รับเงินตามจำนวนเงินและในวันที่กล่าวข้างต้นครบถ้วนแล้วโดยมิจำต้องทำหลักฐานรับเงินใด ๆ ให้แก่ธนาคารอีก… และปรากฏความเคลื่อนไหวทางบัญชีที่แสดงว่า มีการถอนเงินออกจากบัญชีในวันเดียวกับวันที่นำเงินเข้าบัญชีแต่ละครั้ง ซึ่งวันที่ทำรายการฝากและถอนเงินตรงกับวันที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงินแต่ละฉบับ แม้เอกสารระบุรายละเอียดรายการฝากและถอนเงินเป็นภาษาอังกฤษ แต่ก็มีคำแปลในส่วนที่เป็นสาระสำคัญของบัญชี คือ วันที่ทำรายการวันที่รายการมีผล รายการถอนเงิน รายการฝากเงินและยอดเงินคงเหลือ ซึ่งการส่งเอกสารภาษาต่างประเทศต่อศาลไม่จำต้องทำคำแปลเป็นภาษาไทยเสมอไป นอกจากศาลสั่งให้ทำคำแปลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 46 วรรคสาม เมื่อเอกสารดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งแห่งพยานหลักฐานที่รับฟังประกอบกับพยานอื่นที่โจทก์นำสืบและตามเอกสารมีคำแปลที่เพียงพอแก่การพิจารณาข้อเท็จจริงแล้ว ศาลย่อมรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่โจทก์นำสืบพยานตามข้อกล่าวอ้างมานั้น จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ไม่ได้ถามค้านพยานโจทก์ เพียงแต่อ้างการถามค้านพยานโจทก์ของทนายจำเลยที่ 1 มาเป็นข้อโต้เถียงว่า ไม่มีหลักฐานที่จำเลยที่ 1 รับเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน แต่ข้อโต้เถียงดังกล่าวไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง และเมื่อจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ไม่ได้นำสืบพยานจำเลย ก็ย่อมปราศจากพยานหลักฐานที่จะสนับสนุนข้อต่อสู้เพื่อหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ทั้งยังปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ชำระดอกเบี้ยตามตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์บางส่วนตามที่ปรากฏในการ์ดลูกหนี้ เช่นนี้ ข้ออ้างตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้รับเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินจึงฟังไม่ขึ้น ที่ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 รับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง สำหรับหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับลงวันที่ 8 สิงหาคม 2557 ซึ่งมีต้นเงิน 11,339,217.38 บาท มีรายการแสดงว่า จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2557 จำนวน 101,757.82 บาท แต่ศาลล่างทั้งสองยังไม่นำมาหักชำระหนี้ จึงต้องนำมาหักชำระให้แก่จำเลยที่ 1 การหักชำระหนี้ไม่ถูกต้องมีผลให้จำเลยทั้งห้าต้องรับผิดเกินกว่าจำนวนหนี้ที่แท้จริง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 (เดิม) จึงสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ต้นเงิน 11,339,217.38 บาท ที่จำเลยทั้งห้าต้องร่วมกันชำระให้แก่โจทก์ ให้นำเงินที่จำเลยที่ 1 ชำระให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2557 จำนวน 101,757.82 บาท มาหักชำระหนี้ในวันดังกล่าว โดยให้หักชำระดอกเบี้ยตามอัตราดอกเบี้ยที่ศาลล่างทั้งสองมีคำพิพากษาก่อน หากยังมีเงินเหลือให้หักชำระต้นเงิน แล้วให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันรับผิดชำระต้นเงินส่วนที่ยังค้างพร้อมดอกเบี้ยจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share