คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5553/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย15วันและบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้อีก15วันรวมจำคุก30วันศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลงโทษกักขัง30วันแทนเป็นการแก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218วรรคหนึ่งการที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษเป็นฎีกาดุลพินิจในการวางโทษจำเลยของศาลอุทธรณ์จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา58คำว่า”และศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกสำหรับความผิด”นั้นหมายความว่าจำเลยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจริงๆคดีนี้ศาลอุทธรณ์ได้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นโทษกักขังแทนตามมาตรา23ดังนั้นศาลอุทธรณ์จะนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้ไม่ได้ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้..LONG

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7,(5), 57, 92ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 และบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3964/2538ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเคยถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกและรอการลงโทษไว้จริงตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7(5), 57, 92 (ที่ถูกคือมาตรา 92 วรรคหนึ่ง) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก15 วัน และให้บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4140/2538 (ที่ถูกคือ 3964/2538) ของศาลชั้นต้น จำนวน15 วัน เข้ากับโทษในคดีนี้ รวมจำคุก 30 วัน
จำเลย อุทธรณ์ ขอให้ รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นโทษกักขังแทน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า การที่ศาลอุทธรณ์เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นโทษกักขังแทนเป็นการแก้ไขในเรื่องอัตราโทษอย่างมากหรือไม่ เห็นว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับดุลพินิจในการลงโทษเท่านั้นไม่ใช่เรื่องอัตราโทษดังที่จำเลยฎีกาและการที่ศาลอุทธรณ์เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นโทษกักขังแทนก็เป็นการแก้ไขเล็กน้อย ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยอยู่แล้ว ฎีกาของจำเลยเป็นการโต้เถียงดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง และจำเลยฎีกาต่อไปอีกว่าขอให้รอการลงโทษศาลฎีกาเห็นว่า ข้อหาความผิดที่จำเลยกระทำศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 15 วัน และบวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้อีก 15 วันรวมจำคุก 30 วัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลงโทษกักขัง 30 วันแทนเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งการที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษเป็นฎีกาดุลพินิจในการวางโทษจำเลยของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนอีก15 วัน รวมกับโทษกักขัง 15 วัน ในคดีนี้นั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 คำว่า “และศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกสำหรับความผิด” นั้นหมายความว่าจำเลยต้องคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจริง ๆ คดีนี้ศาลอุทธรณ์ได้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นโทษกักขังแทนตามมาตรา 23 ดังนั้น ศาลอุทธรณ์จะนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้ไม่ได้ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้กักขังจำเลย 15 วัน กับให้ยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้นำโทษจำคุกที่รอการลงโทษให้ไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษในคดีนี้นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และให้ยกฎีกาของจำเลย

Share