แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า รับฎีกา ของจำเลยเฉพาะข้อ 2.1 ในปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าฟ้องโจทก์ เคลือบคลุมหรือไม่ ส่วนข้ออื่นที่เหลือเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 2.3 ที่ว่า การที่ศาลอุทธรณ์ หยิบยกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเงินที่เบิกจากบัญชีออมทรัพย์ ในวันที่ 30 มีนาคม 2530 ขึ้นวินิจฉัย และพิพากษาให้จำเลย ต้องรับผิดในเงินดังกล่าว ซึ่งจำเลยมิได้เถียงในประเด็นนี้ เป็นการพิพากษาเกินคำขอ และนอกประเด็นที่ได้โต้เถียงกัน ในชั้นอุทธรณ์นั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่ง รับฎีกาข้อ 2.3 ของจำเลยไว้พิจารณาด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 175 แผ่นที่ 4)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 162,072 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 168)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 171)
คำสั่ง
ตามฎีกาข้อ 2.3 ที่จำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยมิได้เบิกเงินจากบัญชีของเจ้ามรดกไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเงินจำนวน 182,928 บาท ที่จำเลยเบิกไป ในวันที่ 30 มีนาคม 2530 จำเลยได้นำไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัว เป็นการวินิจฉัยและรับฟังข้อเท็จจริงนอกเหนือจากที่ศาลชั้นต้น วินิจฉัยและที่คู่ความมิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำวินิจฉัยของ ศาลชั้นต้นนั้น เป็นฎีกาโต้เถียงการรับฟังข้อเท็จจริงของ ศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยว่า จำเลยได้เบิกเงินจากบัญชีของเจ้ามรดก ไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวหรือไม่ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง