คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 555/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การชั่งคำพยานในคดีแพ่งนั้น หาใช่หมายถึงจะต้องชั่งน้ำหนักคำพยานอันเกิดจากการนำสืบของคู่ความทั้งสองฝ่ายเสมอไปไม่ถ้าปรากฏว่าฝ่ายใดมีภาระการพิสูจน์ก่อน แต่คำพยานไม่น่าเชื่อถือ นำสืบไม่สมข้ออ้าง แม้เป็นการนำสืบฝ่ายเดียวโดยคู่ความอีกฝ่ายไม่มีพยานมาสืบก็ต้องแพ้คดี.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยชดใช้หนี้ตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินจำนวน 10,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 10,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ 7.5ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2525 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความ 400 บาทแก่โจทก์ด้วย แต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์ขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้าน 1 หลัง ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลโพธิ์กลาง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมาโดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลย เพื่อบังคับใช้หนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า บ้านที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องมิใช่ของจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธินำยึด ขอให้ศาลสั่งปล่อยทรัพย์คืนผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาว่า บ้านพิพาทซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2528 เป็นของผู้ร้องหรือของจำเลย ผู้ร้องอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่าบ้านดังกล่าวผู้ร้องซื้อมาจากบ้านด่านทองหลางนำมาปลูกสร้างในที่ดินซึ่งผู้ร้องเช่าจากนายสิงห์เจริญโดยไม่มีหลักฐานการเช่ามา80 ปีแล้ว ผู้ร้องมีนายพรม ชะนางกลาง เป็นพยานสนับสนุน แต่นายพรมเบิกความว่าบ้านพิพาทเดิมเป็นของนางน้อย เติกกลางมารดาผู้ร้อง ต่อมาผู้ร้องจึงรื้อมาปลูกในที่เช่าของนายสิงห์เจริญแล้วจำเลยพักอาศัยบ้านดังกล่าวกับนายสุชาติ บุญชู สามี และจำเลยจึงขัดกับความหมายในคำเบิกความของผู้ร้องที่อ้างว่า ผู้ร้องปลูกสร้างบ้านพิพาทมาเอง นอกจากนี้ ผู้ร้องก็ไม่มีหลักฐานใดมาแสดงยืนยันประกอบคำเบิกความว่าบ้านพิพาทเป็นของผู้ร้อง เช่นคำขอออกเลขที่บ้าน สำเนาทะเบียนบ้านหรือสัญญาเช่าที่ดินนายสิงห์เจริญ ทั้งปรากฏตามข้อเท็จจริงว่า เจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านพิพาทเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2528 แต่ผู้ร้องซึ่งเป็นบุตรสะใภ้จำเลยผู้รักษาทรัพย์ที่ถูกยึดเพิ่งยื่นคำร้องขัดทรัพย์เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2529 หลังจากยึดทรัพย์นานถึง 5 เดือนเศษผิดวิสัยเจ้าของทรัพย์สินที่พึงกระทำ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้โจทก์หรือคู่ความอีกฝ่ายจะไม่มีพยานมาสืบแต่การชั่งน้ำหนักคำพยานในคดีแพ่งนั้นหาใช่หมายถึงจะต้องชั่งน้ำหนักคำพยานอันเกิดจากการนำสืบของทั้งสองฝ่ายเสมอไป ถ้าปรากฏว่า ฝ่ายใดมีภาระการพิสูจน์ก่อนเช่นผู้ร้องขัดทรัพย์ในคดีนี้ แต่คำพยานไม่น่าเชื่อถือนำสืบไม่สมข้ออ้าง แม้เป็นการสืบฝ่ายเดียวก็ต้องแพ้คดี ศาลล่างสองศาลพิพากษายกคำร้องขัดทรัพย์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share