คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5548/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ธนาคารอาคารสงเคราะห์จ้างโจทก์สำรวจและประเมินราคาทรัพย์สินของผู้กู้ยืมเงิน ซึ่งกำหนดให้โจทก์ต้องควบคุมดูแลลูกจ้างหรือพนักงานหรือตัวแทนของโจทก์ให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และต้องส่งผลการสำรวจและประเมินราคาแก่ธนาคารภายในระยะเวลาที่กำหนด การที่จำเลยที่ 3 กรอกข้อความในแบบสรุปผลการประเมินราคา และการที่จำเลยที่ 2 ลงชื่อในฐานะผู้ประเมินราคาและฐานะผู้จัดการสาขาเพื่อจัดส่งให้แก่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ในนามของโจทก์ล้วนแต่เป็นขั้นตอนในการปฏิบัติงานของพนักงานโจทก์ ผู้ที่ประเมินราคาหรือทำคำรับรองเอกสารตามสัญญาจ้างก็คือโจทก์ จำเลยที่ 3 มิได้ลงชื่อเป็นผู้ประเมินราคาในเอกสารดังกล่าว จำเลยที่ 3 จึงมิใช่ผู้ทำคำรับรองเอกสารอันเป็นเท็จแต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ธนาคารอาคารสงเคราะห์จ้างโจทก์สำรวจและประเมินราคาทรัพย์สินของผู้กู้ยืมเงินธนาคารดังกล่าว จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการสาขาของโจทก์มีหน้าที่ควบคุมสั่งการพนักงานประเมินราคาตรวจสอบรายงานการสำรวจ ประเมินราคาทรัพย์สิน และเสนอรายงานการสำรวจประเมินราคาทรัพย์สินแก่โจทก์และแก่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จำเลยที่ 3 เป็นพนักงานประเมินราคาทรัพย์สินของโจทก์ โจทก์มอบหมายให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำการสำรวจและประเมินราคาที่ดินของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งจำเลยที่ 1 นำมาใช้เป็นหลักประกันในการขอกู้ยืมเงินจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันใช้คำรับรองอันเป็นเอกสารเท็จ เพื่อให้ธนาคารหลงเชื่อว่าหลักทรัพย์มีราคาประเมินตามคำรับรองที่จำเลยทั้งสามร่วมกันทำขึ้น จนทำให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ให้จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงิน ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 269 และมาตรา 83

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง

ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 1 หลบหนี ศาลชั้นต้นออกหมายจับและมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความชั่วคราว

จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 269 ทั้งสองวรรค ให้จำคุก 6 เดือน ทางนำสืบของจำเลยที่ 3 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78หนึ่งในสาม คงจำคุก 5 เดือน ไม่มีเหตุรอการลงโทษ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2

จำเลยที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 เสียด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันรับฟังเป็นยุติว่า ธนาคารอาคารสงเคราะห์จ้างโจทก์สำรวจและประเมินราคาทรัพย์สินของผู้กู้ยืมเงินที่จะนำมาจำนองเป็นประกันเงินกู้ยืมกับธนาคารตามสัญญาจ้างสำรวจและประเมินราคาทรัพย์สินเอกสารหมาย จ.4 จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์ได้ไปสำรวจและทำสรุปผลการประเมินราคาตามเอกสารหมาย จ.5 ให้จำเลยที่ 2 ลงชื่อในฐานะผู้จัดการโจทก์สาขานครปฐมและฐานะผู้ประเมินราคา โดยประเมินราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นเงิน 9,574,000 บาท โจทก์ให้พนักงานของโจทก์ไปสำรวจและประเมินราคาใหม่ พนักงานของโจทก์ประเมินราคาเพียง 3,630,000 บาท และธนาคารอาคารสงเคราะห์ประเมินราคาที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นเงิน 5,248,882บาท มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดเกี่ยวกับเอกสารตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ธนาคารอาคารสงเคราะห์จ้างโจทก์สำรวจและประเมินราคาทรัพย์สินของผู้กู้ยืมเงินตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.4 ซึ่งกำหนดให้โจทก์ต้องควบคุมดูแลลูกจ้างหรือพนักงาน หรือตัวแทนของโจทก์ให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และต้องส่งผลการสำรวจและประเมินราคาแก่ธนาคารภายในระยะเวลาที่กำหนด ดังนั้น การที่จำเลยที่ 3 กรอกข้อความในแบบสรุปผลการประเมินราคาเอกสารหมาย จ.5 ก็ดี และการที่จำเลยที่ 2 ลงชื่อในฐานะผู้ประเมินราคาและฐานะผู้จัดการสาขาในเอกสารหมาย จ.5 เพื่อจัดส่งให้แก่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ในนามของโจทก์ก็ดี ล้วนแต่เป็นขั้นตอนในการปฏิบัติงานของพนักงานของโจทก์ ผู้ที่ประเมินราคาหรือทำคำรับรองเอกสารตามสัญญาจ้างก็คือโจทก์ประกอบกับจำเลยที่ 3 มิได้ลงชื่อเป็นผู้ประเมินราคาในเอกสารหมาย จ.5 จำเลยที่ 3 จึงมิใช่ผู้ทำคำรับรองเอกสารอันเป็นเท็จแต่อย่างใด จำเลยที่ 3 จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 269 ตามที่โจทก์ฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 3 มานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share