แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยสั่งจ่ายเช็คผู้ถือมอบให้โจทก์ โจทก์ได้สลักหลังแล้วนำไปแลกเงินสดจากบุคคลภายนอก การสลักหลังดังกล่าวย่อมเป็นเพียงประกัน(อาวัล) สำหรับผู้สั่งจ่ายตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 921ประกอบด้วยมาตรา 989 โดยโจทก์อยู่ในฐานะผู้ค้ำประกันหนี้ตามเช็คที่จำเลยจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกซึ่งเป็นผู้ทรงเท่านั้นเมื่อโจทก์ได้ชำระหนี้ตามเช็คแก่บุคคลภายนอกแทนจำเลยไป ย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 940วรรคสาม ประกอบด้วยมาตรา 989 โดยมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164(เดิม) อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ขณะโจทก์ฟ้องคดีนี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คธนาคารกสิกรไทยสาขามหาพฤฒาราม จำนวน 2 ฉบับ ฉบับแรกลงวันที่ 6 เมษายน 2528และฉบับที่สองลงวันที่ 6 มิถุนายน 2528 จำนวนเงินฉบับละ 350,000บาท ซึ่งจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายชำระหนี้ให้โจทก์ต่อมาโจทก์ได้โอนเช็คทั้งสองฉบับชำระหนี้ให้แก่ผู้มีชื่อเมื่อเช็คทั้งสองฉบับถึงกำหนด ผู้มีชื่อได้นำเช็คไปเรียกเก็บเงิน ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้งสองฉบับดังกล่าวเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2528 และวันที่ 10 มิถุนายน 2528 ให้เหตุผลว่า”โปรดติดต่อผู้สั่งจ่าย” ต่อมาเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2530 โจทก์ในฐานะผู้สลักหลังได้ชดใช้เงินตามเช็คทั้งสองฉบับนั้นให้แก่ผู้มีชื่อไป แล้วเข้าถือเอาเช็คกลับคืนมา โจทก์จึงกลับเป็นผู้ทรงเช็คทั้งสองฉบับโดยชอบด้วยกฎหมายอีกครั้งหนึ่ง โจทก์ได้มอบให้ทนายความมีหนังสือทวงถามเงินตามเช็คไปยังจำเลยแล้ว จำเลยเพิกเฉยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายจำเลยในฐานะผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายต้องรับผิดชดใช้เงินตามเช็คทั้งสองฉบับดังกล่าว พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินถึงวันฟ้องคิดเป็นดอกเบี้ย 122,500 บาทรวมเงินตามเช็คและดอกเบี้ยเป็นเงิน 822,500 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์จำนวน 822,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 700,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์นำคดีมาฟ้องเกิน 1 ปีนับแต่วันที่ลงในเช็คจึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์จำนวน 700,000บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 350,000 บาทตามเช็คฉบับแรกนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2528 และดอกเบี้ยอัตราเดียวกันในต้นเงิน 350,000 บาท ตามเช็คฉบับที่สองนับแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2528 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องทั้งหมดต้องไม่เกิน 122,500 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความเรียกร้องแล้วหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า เช็คตามเอกสารหมาย ล.2 และ ล.3เป็นเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ โจทก์ได้นำไปแลกเงินสดจากบุคคลภายนอก ผู้รับเช็คทั้งสองฉบับนั้นไว้จากโจทก์ย่อมเป็นผู้ทรงเช็คนั้น การสลักหลังเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือของโจทก์ย่อมเป็นเพียงประกัน (อาวัล) สำหรับผู้สั่งจ่าย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 921 ประกอบด้วยมาตรา 989 โจทก์ย่อมอยู่ในฐานะผู้ค้ำประกันหนี้ตามเช็คที่จำเลยจะต้องรับผิดต่อผู้ทรงเท่านั้น หาได้ถือว่าเป็นผู้สลักหลังตามกฎหมายไม่ เมื่อโจทก์ได้ชำระหนี้ตามเช็คแทนจำเลยไปแล้วโจทก์ย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 940 วรรคสามประกอบด้วยมาตรา 989 ในกรณีเช่นนี้ไม่ปรากฏว่ามีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะให้ต้องบังคับภายในกำหนดเวลาเท่าใด สิทธิของโจทก์ในฐานะผู้ไล่เบี้ยจึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 (เดิม) อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ขณะโจทก์ฟ้องคดีนี้ มิใช่อายุความ 1 ปี หรือ6 เดือน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002 และมาตรา 1003คดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น