คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5542/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อตามหนังสือสัญญาการซื้อขายและสัญญายินยอมกับหนังสือสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาวางมัดจำ มิได้มีข้อความระบุไว้แต่อย่างใดว่า จำเลยตกลงให้โจทก์เป็นนายหน้า โดยจะยกเงินส่วนที่เหลือเป็นค่าบำเหน็จในการชี้ช่องให้จำเลยเข้าทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินดังกล่าว แต่ในสัญญาสองฉบับข้างต้นกลับเป็นเรื่องที่โจทก์กระทำการแทนบริษัท ท. ซึ่งโจทก์ในฐานะกรรมการคนหนึ่งของบริษัท ท. ดำเนินการเป็นตัวแทนของบริษัทดังกล่าวตกลงซื้อที่ดินจากจำเลย มิใช่เป็นกรณีที่โจทก์ทำหน้าที่เป็นนายหน้าขายที่ดินของจำเลยให้แก่บริษัท ท.ดังนั้น หากมีเงินส่วนที่เหลือที่จำเลยจะต้องคืน โจทก์ก็ไม่มีสิทธิรับไว้เนื่องจากเงินดังกล่าว โจทก์ได้มาในฐานะที่ทำการแทนตัวการเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2536 จำเลยตกลงให้โจทก์เป็นนายหน้าขายที่ดินของจำเลยตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 2286 เนื้อที่ 45 ไร่ 2 งาน 88 ตารางวาในราคา 2,730,000 บาท โดยตกลงค่านายหน้าเป็นเงิน 680,000 บาท ต่อมาโจทก์ได้นำผู้ซื้อมาทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินของจำเลยและจำเลยได้โอนที่ดินให้แก่ผู้ซื้อในวันที่ 6 ธันวาคม 2537โดยได้รับเงินครบถ้วนแล้ว โจทก์จึงติดต่อทวงถามค่านายหน้าจากจำเลย จำเลยขอผัดผ่อนและชำระให้โจทก์เพียง 65,113 บาทขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 614,887 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 614,887 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบมาและมิได้โต้แย้งในชั้นนี้รับฟังยุติได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์เคยติดต่อขอซื้อที่ดินของจำเลยตามฟ้องให้แก่บริษัทไทยนิปปอนกรุ๊ป จำกัดซึ่งโจทก์เป็นกรรมการอยู่ด้วยคนหนึ่ง ในราคา 2,050,000 บาทแต่ให้ระบุในสัญญาจะซื้อขายไว้ 2,730,000 บาท โดยส่วนที่เหลือ680,000 บาท โจทก์จะรับไว้เอง ตามหนังสือสัญญาการซื้อขายที่ดินและสัญญายินยอมกับหนังสือสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาวางมัดจำเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4 ตามลำดับ ต่อมานายไพบูลย์ ตั้งสิทธิเกษมกรรมการอีกคนหนึ่งของบริษัทไทยนิปปอนกรุ๊ป จำกัด ซื้อที่ดินดังกล่าวจากจำเลย คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยจะต้องจ่ายค่านายหน้าให้แก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ในข้อนี้โจทก์เบิกความยืนยันว่า โจทก์ตกลงซื้อที่ดินจากจำเลยให้แก่บริษัทไทยนิปปอนกรุ๊ป จำกัด ในราคา 2,050,000 บาท แต่ให้จำเลยลงจำนวนเงินในสัญญาจะซื้อขายไว้ 2,730,000 บาท ส่วนที่เหลือจำเลยตกลงยกให้โจทก์ เห็นว่า ตามหนังสือสัญญาการซื้อขายและสัญญายินยอมกับหนังสือสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาวางมัดจำตามเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4 นั้น หาได้มีข้อความระบุไว้แต่อย่างใดว่า จำเลยตกลงให้โจทก์เป็นนายหน้าโดยจะยกเงินส่วนที่เหลือเป็นค่าบำเหน็จในการชี้ช่องให้จำเลยเข้าทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินดังกล่าวทั้งในสัญญาสองฉบับข้างต้นกลับเป็นเรื่องที่โจทก์กระทำการแทนบริษัทเจือสมตามข้อต่อสู้ของจำเลย ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมาฟังได้ว่า โจทก์ในฐานะกรรมการคนหนึ่งของบริษัทไทยนิปปอนกรุ๊ป จำกัด ดำเนินการเป็นตัวแทนของบริษัทดังกล่าวตกลงซื้อที่ดินจากจำเลย หาใช่เป็นกรณีที่โจทก์ทำหน้าที่เป็นนายหน้าขายที่ดินของจำเลย ให้แก่บริษัทไทยนิปปอนกรุ๊ป จำกัดแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น หากมีเงินส่วนที่เหลือที่จำเลยจะต้องคืนโจทก์ก็ไม่มีสิทธิรับไว้เนื่องจากเงินดังกล่าว โจทก์ได้มาในฐานะที่ทำการแทนตัวการเท่านั้น ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 810 วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
พิพากษายืน

Share