แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เพียงแต่กล่าวคำด่าให้ผู้ถูกด่าได้ยินเท่านั้น ก็เป็นผิดฐานหมิ่นประมาทซึ่งหน้าแล้ว ไม่จำต้องด่าโดยหันหน้าหากัน จะด่าอยู่ข้างหลังหรือข้างไหนก็ไม่สำคัญ
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้พิจารณารวมกัน
สำนวนแรกนายฮอมฟ้องพระครูวาสน์เป็นจำเลยหาว่าชกต่อยนายฮอมถูกปากฟันหัก 2 ซี่ โลหิตไหล ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 254
สำนวนหลัง พระครูวาสน์ ฟ้องนายฮอมเป็นจำเลยว่า หมิ่นประมาทโจทก์ซึ่งหน้าว่า “มันไม่ใช่คน มันเป็นหมา พระชาติหมา กินข้าวชาวบ้านเสียข้าวสุก” และจำเลยให้ของลับโจทก์อีกด้วย ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 339 ข้อ 2 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยแต่ละสำนวนได้กระทำผิดดังฟ้องพิพากษากลับลงโทษพระภิกษุวาสน์จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 (บทที่เป็นคุณแก่จำเลย) ปรับ 600 บาท ลงโทษนายฮอมจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 339 ข้อ 2 ปรับ 50 บาท
พระภิกษุวาสน์จำเลยฎีกาว่า ไม่ได้ทำผิด
นายฮอมจำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกล่าวคำด่าหมิ่นประมาทโจทก์ซึ่งหน้า แต่ได้ความว่า จำเลยเดินพ้นโจทก์ไป 3 วาแล้วจึงด่าเป็นการด่าลับหลัง
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามศาลอุทธรณ์และพิจารณาฎีกาของนายฮอมจำเลยแล้วเห็นว่า ความผิดฐานหมิ่นประมาทซึ่งหน้าเพียงแต่กล่าวคำด่าให้ผู้ถูกด่าได้ยินเท่านั้นก็เป็นผิดแล้วไม่จำต้องด่าโดยหันหน้าหากัน จะด่าอยู่ข้างหลังหรือข้างไหนก็ไม่สำคัญ
ศาลฎีกาพิพากษายืน