คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5530/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามรายงานกระบวนพิจารณาในวันชี้สองสถานศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่ส่วนคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยขัดกันโดยจำเลยรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจริงแล้วกลับให้การอีกว่าจำเลยได้ที่ดินพิพาทมาจากพ. แล้วเข้าครอบครองอย่างเป็นเจ้าของโดยความสงบโดยเปิดเผยเกิน10ปีจากคำให้การและฟ้องแย้งดังกล่าวจึงไม่ทราบได้แน่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของพ. หรือของจำเลยจึงเป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่เกิดประเด็นดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่อันเป็นประเด็นหลักจึงครอบคลุมถึงประเด็นที่ว่าสัญญาเช่าปลอมหรือไม่และจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ด้วยแล้วจึงไม่ตรงกับรายงานการชี้สองสถานของศาลชั้นต้นว่าคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยขัดกันจึงไม่มีประเด็นว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์อย่างไรก็ดีศาลฎีกาเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์บรรยายไว้ชัดแจ้งว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยได้รับมรดกมาจากส. และพ.ตั้งแต่วันที่28มีนาคม2533ส่วนคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนแรกจำเลยยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจริงดังนั้นคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนต่อมาว่าจำเลยและบริวารปลูกบ้านเรือนอยู่ในบางส่วนของที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยเองโดยได้รับการยกให้จากพ.และจำเลยได้ครอบครองในฐานะเจ้าของตลอดมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยเกินกว่า10ปีแล้วขัดกับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนแรกที่ยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจริงดังนั้นคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนต่อมาว่าจำเลยและบริวารปลูกบ้านเรือนอยู่ในบางส่วนของที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยเองโดยได้รับการยกให้จากพ. และจำเลยได้ครอบครองในฐานะเจ้าของตลอดมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยเกินกว่า10ปีแล้วขัดกับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนแรกที่ยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจริงตามฟ้องซึ่งก็คือยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยชอบมาตั้งแต่วันที่28มีนาคม2533นั่นเองจึงเป็นคำให้การและฟ้องแย้งที่ขัดกันเองและไม่แสดงโดยชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์และไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาโดยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสองและมาตรา172วรรคสองจึงไม่เกิดเป็นประเด็นว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ส่วนประเด็นที่ว่าสัญญาเช่าเป็นเอกสารปลอมหรือไม่คงรวมอยู่ในประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่4131 ตำบลบางแคใต้ อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงครามตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2533 โดยได้รับมรดกมาจากจ่านายสิบถมและนางพร้อม ครุธเวโช เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2532จำเลยได้เช่าที่ดินดังกล่าวเพื่อทำสวนจากนางประทุมชาติ เทศน์ธรรม ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับโจทก์โดยคิดว่าเช่าปีละ 2,000 บาท มีกำหนด 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2532 ถึงวันที่ 2 พฤศจิกายน 2533จำเลยได้ทำประโยชน์และปลูกสร้างบ้านลงบนที่ดินแปลงดังกล่าวต่อมาโจทก์ต้องการใช้ประโยชน์ในที่ดินไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อไปจึงได้มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์เมื่อครบกำหนดตามสัญญา ครั้นเมื่อครบกำหนดแล้วจำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหาย ขอคิดค่าเสียหายเดือนละ 1,500 บาท นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2534ถึงวันฟ้องเป็นเวลา 8 เดือนเศษ โจทก์ขอคิดเพียง 8 เดือนเป็นเงินค่าเสียหาย 12,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกไปจากที่ดินของโจทก์และให้จำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน 12,000 บาทและต่อไปเดือนละ 1,500 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 4131ตำบลบางแคใต้ อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงครามเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์จริงจำเลยไม่เคยทำสัญญาเช่าที่ดินแปลงดังกล่าวจากนางประทุมช่ติ เทศน์ธรรม ตามฟ้องแต่อย่างใดสัญญาเช่าที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญาเช่าที่ดินโฉนดเลขที่4130 ตำบลบางแคใต้ อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงครามซึ่งจำเลยทำกับนางประทุมชาติ โจทก์ได้นำสัญญาเช่าดังกล่าวมาปลอมแปลงแก้ไขข้อความจากโฉนดเลขที่ 4130มาเป็นโฉนดเลขที่ 4131 โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหาย ที่ดินโฉนดเลขที่ 4131 ที่จำเลยปลูกบ้านเรือนอยู่อาศัยตามฟ้องนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยนางพร้อย ครุธเวโช ยกให้แก่จำเลยและจำเลยได้ครอบครองที่ดินในฐานะเจ้าของโดยความสงบและเปิดเผยจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 10 ปี ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่าที่ดินที่ปรากฏภายในกรอบเส้นสีแดงท้ายคำให้การและฟ้องแย้งซึ่งอยู่ในโฉนดเลขที่ 4131 ตำบลบางแคใต้อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยให้โจทก์แบ่งแยกที่ดินดังกล่าวพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลย หากโจทก์ไม่จัดการให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า นางพร้อยไม่เคยยกที่ดินให้แก่จำเลย จำเลยเป็นเพียงผู้เช่าที่ดินโฉนดเลขที่ 4131จากนางพร้อยและนางประทุมชาติผู้จัดการมรดกเท่านั้นจำเลยไม่เคยครอบครองที่ดินดังกล่าวโดยเจตนาเป็นเจ้าของหากแต่ยอมรับสิทธิของโจทก์ตลอดมา ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 4131 ตำบลบางแคใต้อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ 2,400 บาท และค่าเสียหายเป็นรายเดือน เดือนละ 300 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายว่าที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทข้อเดียวว่า จำเลยเช่าที่ดินตามฟ้องโจทก์หรือไม่ อันเป็นประเด็นหลักจึงครอบคลุมถึงประเด็นที่ว่าสัญญาเช่าปลอมหรือไม่ และจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ด้วย จึงไม่จำต้องกำหนดประเด็นเพิ่มเติมนั้น ไม่ชอบและทำให้จำเลยเสียเปรียบ ขอให้กำหนดประเด็นดังกล่าวเพิ่มเติมและดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปเห็นว่า ในการชี้สองสถานปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2535 ว่า ศาลชั้นต้นได้พิเคราะห์คำฟ้องคำให้การ ฟ้องแย้งและคำให้การแก้ฟ้องแย้งแล้วเห็นว่า คดีมีประเด็นข้อพิพาทเพียงประเด็นพิพาทว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่ ส่วนคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยขัดกัน โดยจำเลยรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจริงแล้วกลับให้การอีกว่าจำเลยได้ที่ดินพิพาทมาจากนางพร้อยแล้วเข้าครอบครองอย่างเป็นเจ้าของ โดยความสงบ โดยเปิดเผยเกิน 10 ปีจากคำให้การและฟ้องแย้งดังกล่าวจึงไม่ทราบได้แน่ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของนางพร้อยหรือของจำเลย จึงเป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่เกิดประเด็น ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่อันเป็นประเด็นหลักจึงครอบคลุมถึงประเด็นที่ว่าสัญญาเช่าปลอมหรือไม่และจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ด้วยแล้ว จึงไม่ตรงกับรายงานการชี้สองสถานของศาลชั้นต้นว่า คำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยขัดกัน จึงไม่มีประเด็นว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์ ฎีกาของจำเลยในส่วนนี้ฟังขึ้น อย่างไรก็ดี ศาลฎีกาเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์บรรยายไว้ชัดแจ้งว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยได้รับมรดกมาจากนายสิบถมและนางพร้อย ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2533 ส่วนคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนแรกจำเลยยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจริง ดังนั้นคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนต่อมาว่า จำเลยและบริวารปลูกบ้านเรือนอยู่ในบางส่วนของที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยเองโดยได้รับการยกให้จากนางพร้อยและจำเลยได้ครอบครองในฐานะเจ้าของตลอดมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยเกินกว่า 10 ปีแล้ว ขัดกับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยในตอนแรกที่ยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทจริงตามฟ้อง ซึ่งก็คือยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยชอบมาตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2533นั่นเอง จึงเป็นคำให้การและฟ้องแย้งที่ขัดกันเองและไม่แสดงโดยชัดแจ้งว่า จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์และไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ไม่โดยชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองและมาตรา 172 วรรคสอง จึงไม่เกิดเป็นประเด็นว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทบางส่วนโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ ส่วนประเด็นที่ว่าสัญญาเช่าเป็นเอกสารปลอมหรือไม่คงรวมอยู่ในประเด็น ที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่าจำเลยเช่าที่ดินพิพาทตามฟ้องโจทก์หรือไม่แล้ว ซึ่งศาลชั้นต้นก็ได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าการแก้ไขเลขที่โฉนดเป็นการแก้เพื่อให้ตรงความเป็นจริงที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าไม่จำต้องกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพิ่มเติมศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน

Share