แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กรมทะเบียนการค้าโจทก์ที่ 1 กรมการค้าภายในโจทก์ที่ 2และสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์โจทก์ที่ 3 ต่างมีฐานะเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากกันตามกฎหมาย แม้โจทก์ที่ 1 และที่ 2จะมอบหมายให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครสวรรค์เป็นผู้เก็บเงินค่าธรรมเนียมก็ตาม สำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครสวรรค์ก็เป็นเพียงตัวแทนของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 เท่านั้น เมื่อเงินตามคำฟ้องที่จำเลยที่ 1 ยักยอกไปนั้นเป็นเงินค่าธรรมเนียมจดทะเบียนอันเป็นรายได้ของโจทก์ที่ 1 และเงินค่าธรรมเนียมรายได้เบ็ดเตล็ดต่าง ๆ อันเป็นรายได้ของโจทก์ที่ 2 มิใช่เงินค่าธรรมเนียมรายได้ของโจทก์ที่ 3 หรือเงินค่าธรรมเนียมรายได้ของสำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครสวรรค์ ที่โจทก์ที่ 3เป็นผู้บังคับบัญชาควบคุมและดูแลอยู่ โจทก์ที่ 3 จึงไม่ถูกโต้แย้งสิทธิ โจทก์ที่ 3 ย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 5 เป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์งานทะเบียนการค้ามีหน้าที่รับจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท ในการปฏิบัติหน้าที่จำเลยที่ 5 คงรับเฉพาะเงินค่าธรรมเนียมจากผู้ที่มาขอจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทแล้วนำไปมอบให้แก่เจ้าหน้าที่การเงินเท่านั้นหาใช่เป็นเจ้าหน้าที่การเงินที่ได้รับมอบเงินค่าธรรมเนียมแล้วนำไปส่งคลังจังหวัดไม่ ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 5 รับเงินค่าธรรมเนียมแล้วมอบเงินนั้นให้จำเลยที่ 1 นำไปส่งคลังจังหวัด จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 5 กระทำละเมิดต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามเป็นนิติบุคคลโดยเป็นกรมในรัฐบาล โจทก์ที่ 1 มีอำนาจหน้าที่ในการรับจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัท เก็บค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนพาณิชย์และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ได้มอบอำนาจให้สำนักงานพิมพ์จังหวัดเป็นผู้จัดเก็บแทนและนำเงินส่งคลังจังหวัดเป็นรายได้แผ่นดินในนามของโจทก์ที่ 1โจทก์ที่ 2 มีอำนาจหน้าที่ในการเก็บค่าธรรมเนียมการค้าข้าวทั้งหมดและมอบอำนาจให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเป็นผู้จัดเก็บแทนและนำเงินส่งคลังจังหวัดเป็นรายได้แผ่นดินในนามของโจทก์ที่ 2โจทก์ที่ 3 มีหน้าที่เกี่ยวกับราชการทั่วไปของกระทรวงพาณิชย์และบังคับบัญชาควบคุมดูแลให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบและข้อบังคับ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 และนายนิวัฒน์ ฉายะโอภาส ซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้ว ต่างรับราชการที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครสวรรค์ จำเลยที่ 10 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายนิวัฒน์ผู้ตาย จำเลยที่ 11 ที่ 12 และที่ 13 เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายอันเกิดจากจำเลยที่ 10และจำเลยที่ 14 เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายอันเกิดจากนางสร้อยระย้า ฉายะโอภาส ตามระเบียบข้อบังคับของทางราชการในการนำส่งเงินรายได้ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดจัดเก็บเป็นรายได้ของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 นั้น เจ้าพนักงานประจำพาณิชย์จังหวัดผู้มีหน้าที่จะต้องนำส่งคลังจังหวัดเป็นรายได้แผ่นดินในนามของโจทก์ที่ 1 หรือที่ 2 แล้วแต่กรณี โดยเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่นำส่งจะต้องกรอกข้อความลงในใบนำส่งเงินรายได้แผ่นดิน (แบบ 20) รวม 4 ฉบับ ที่มีข้อความเหมือนกันแล้วนำเงินพร้อมใบนำส่งเงินรายได้แผ่นดินไปมอบให้คลังจังหวัด เมื่อเจ้าหน้าที่คลังจังหวัดผู้มีหน้าที่ได้ตรวจสอบใบนำส่งเงินรายได้แผ่นดินและรับเงินถูกต้องแล้วจะลงลายมือชื่อรับเงินในช่องลายมือชื่อผู้รับเงินและประทับตราคลังจังหวัดพร้อมทั้งลงวันที่รับเงินแล้วมอบใบนำส่งเงินรายได้แผ่นดินคืนแก่ผู้นำส่ง 2 ฉบับ เพื่อนำมาลงบัญชี เมื่อระหว่างปีงบประมาณ 2521 ถึง 2527 จำเลยที่ 1ซึ่งรับราชการในตำแหน่งนักการได้รับมอบหมายให้นำเงินค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการค้าอันเป็นรายได้ของโจทก์ที่ 1 และเงินค่าธรรมเนียมรายได้เบ็ดเตล็ด อันเป็นรายได้ของโจทก์ที่ 2 ไปส่งให้คลังจังหวัดนครสวรรค์หลายครั้ง แต่จำเลยที่ 1 ไม่นำเงินไปส่งทุกครั้ง โดยบางครั้งจำเลยที่ 1 ไม่ได้ส่งเงิน แต่ปลอมใบนำส่งเงินรายได้แผ่นดินโดยการลงลายมือชื่อเจ้าหน้าที่คลังจังหวัดนครสวรรค์ ผู้มีหน้าที่รับเงินลงในช่องลายมือชื่อผู้รับเงินและประทับตราคลังจังหวัดนครสวรรค์ปลอมลงในใบนำส่งเงินรายได้แผ่นดินฉบับที่ต้องเก็บรักษาไว้ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครสวรรค์แล้วนำมาแสดงต่อสำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครสวรรค์ว่าส่งเงินให้คลังจังหวัดเรียบร้อยแล้ว และจำเลยที่ 1 ยักยอกเอาเงินที่จะต้องนำส่งเป็นของจำเลยที่ 1 โดยทุจริต รวมเงินที่จำเลยที่ 1 ยักยอกเงินรายได้ของโจทก์ที่ 1 จำนวน1,708,598 บาท ยักยอกเงินรายได้ของโจทก์ที่ 2 จำนวน234,282 บาท รวมทั้งสิ้น 1,942,880 บาท ซึ่งเป็นเงินรายได้แผ่นดินที่อยู่ในความควบคุมดูแลของสำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครสวรรค์ และอยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์ที่ 3 จำเลยที่ 1จึงต้องรับผิดชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวคืนแก่โจทก์ทั้งสามโดยจำเลยที่ 2 ถึงที่ 9 และนายนิวัฒน์ผู้ตายจะต้องร่วมกันรับผิดกับจำเลยที่ 1 ดังนี้
จำเลยที่ 2 นายนิวัฒน์ผู้ตาย จำเลยที่ 3 และที่ 4 ได้รับคำสั่งจากจำเลยที่ 6 และที่ 7 ซึ่งเป็นพาณิชย์จังหวัด ให้ปฏิบัติหน้าที่เจ้าหน้าที่การเงินและบัญชี มีหน้าที่จะต้องนำเงินรายได้แผ่นดินทั้งหมดของสำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครสวรรค์ไปส่งต่อคลังจังหวัดนครสวรรค์ด้วยตนเอง แต่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4และนายนิวัฒน์ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ กลับปล่อยปละละเลย รู้เห็นเป็นใจมอบหมายสั่งหรือใช้ให้จำเลยที่ 1 ซึ่งไม่มีหน้าที่นำเงินรายได้แผ่นดินไปส่งคลังจังหวัดแทน เมื่อจำเลยที่ 1นำใบส่งเงินรายได้แผ่นดินที่มีลายมือชื่อของเจ้าหน้าที่คลังจังหวัดมาแสดง จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และนายนิวัฒน์ก็ไม่ได้ตรวจให้ละเอียดว่าลายมือชื่อของเจ้าหน้าที่คลังจังหวัดและรอยตราประทับเป็นลายมือชื่อและรอยตราจริงหรือไม่ การปฏิบัติและงดเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และนายนิวัฒน์เป็นการขาดความระมัดระวัง ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ยักยอกเงินไปในระหว่างจำเลยที่ 2 นายนิวัฒน์จำเลยที่ 3 และที่ 4 ปฏิบัติหน้าที่ จำนวน 395,045.50 บาทจำนวน 788,077 บาท จำนวน 901,005 บาท และจำนวน 48,955 บาทตามลำดับทำให้โจทก์ทั้งสามเสียหาย จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และนายนิวัฒน์ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ชดใช้เงินตามจำนวนที่จำเลยที่ 1 ยักยอกไประหว่างที่แต่ละคนปฏิบัติหน้าที่
จำเลยที่ 5 มีหน้าที่รับจดทะเบียนพาณิชย์ ทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท เก็บเงินค่าธรรมเนียมต่าง ๆ จากผู้ที่มาขอจดทะเบียนต่อสำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครสวรรค์ รวมทั้งออกใบเสร็จรับเงินและรวบรวมเงินค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่เก็บได้อันเป็นรายได้ของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 แล้วมอบให้แก่จำเลยที่ 2 ที่ 3ที่ 4 และนายนิวัฒน์ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีเพื่อนำเงินส่งต่อคลังจังหวัดนครสวรรค์ จำเลยที่ 5 รวบรวมเงินค่าธรรมเนียมต่าง ๆ แล้วกลับมอบให้จำเลยที่ 1 ซึ่งมิใช่เจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีและไม่มีหน้าที่ในการเงินรายได้แผ่นดินส่งคลังจังหวัด เป็นผู้นำเงินรายได้แผ่นดินส่งคลังจังหวัดเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ยักยอกเงินไปรวม 1,942,880 บาทการปฏิบัติและงดเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 5 เป็นการขาดความระมัดระวังประมาทเลินเล่อ ทำให้โจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 5 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งสาม
จำเลยที่ 6 และที่ 7 ซึ่งเป็นพาณิชย์จังหวัด มีหน้าที่สั่งและควบคุมให้เจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีนำเงินรายได้แผ่นดินไปส่งคลังจังหวัด ถ้าเงินรายได้ที่จะต้องนำส่งเป็นเงินจำนวนมาก จำเลยที่ 6 และที่ 7 มีหน้าที่ตั้งกรรมการในการนำส่ง จำเลยที่ 8 และที่ 9 ซึ่งเป็นผู้ช่วยพาณิชย์จังหวัดมีหน้าที่ควบคุมให้เจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีเป็นผู้นำเงินรายได้แผ่นดินไปส่งคลังจังหวัด เมื่อเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีนำเงินไปส่งคลังจังหวัดแล้ว จำเลยที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 และที่ 9มีหน้าที่ต้องตรวจว่าใบนำส่งเงินรายได้แผ่นดินมีผู้ลงลายมือชื่อรับเงินถูกต้องหรือไม่ แต่จำเลยทั้งหมดนี้ไม่เคยสั่งหรือกำชับให้เจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีเป็นผู้นำเงินรายได้แผ่นดินไปส่งคลังจังหวัดด้วยตนเอง ในกรณีเงินที่จะต้องนำส่งมีจำนวนมากจำเลยที่ 6 และที่ 7 ก็ไม่เคยตั้งกรรมการนำส่งจำเลยที่ 6 ที 7 ที่ 8 และที่ 9 กลับปล่อยปละละเลยและมอบหมายใช้ หรือสั่งให้จำเลยที่ 1 ซึ่งไม่มีหน้าที่ทางการเงินและบัญชีเป็นผู้นำเงินรายได้แผ่นดินไปส่งคลังจังหวัดนครสวรรค์แต่ผู้เดียวเมื่อจำเลยที่ 1 นำใบส่งเงินรายได้แผ่นดินที่ปลอมมาแสดงจำเลยที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 และที่ 9 ก็มิได้ตรวจให้ละเอียดว่าเป็นลายมือชื่อของเจ้าหน้าที่คลังจังหวัดและรอยตราประทับของคลังจังหวัดนครสวรรค์ที่แท้จริงหรือไม่ การปฏิบัติและงดเว้นการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว เป็นการขาดความระมัดระวังประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ยักยอกเงินไประหว่างที่จำเลยที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 และที่ 9 ปฏิบัติหน้าที่จำนวน1,264,130 บาท จำนวน 678,750 บาท จำนวน 1,901,405 บาท และจำนวน 41,475 บาท ตามลำดับ ทำให้โจทก์ทั้งสามเสียหาย จำเลยที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 และที่ 9 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1ชดใช้เงินตามจำนวนที่จำเลยที่ 1 ยักยอกไประหว่างที่จำเลยแต่ละคนปฏิบัติหน้าที่
จำเลยที่ 10 ถึง 14 เป็นทายาทผู้รับมรดกของนายนิวัฒน์มีหน้าที่ต้องร่วมกันในอันที่จะต้องนำทรัพย์สินในกองมรดกของนายนิวัฒน์ร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้แก่โจทก์จำนวน788,077 บาท โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสิบสี่ชำระเงินดังกล่าวแล้ว แต่จำเลยทุกคนเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 9ร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,942,880 บาท แก่โจทก์ โดยจำเลยที่ 2ร่วมรับผิด 395,045.50 บาท จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิด 901,005 บาทจำเลยที่ 4 ร่วมรับผิด 48,955 บาท จำเลยที่ 5 ร่วมรับผิด1,942,880 บาท จำเลยที่ 6 ร่วมรับผิด 1,264,130 บาท จำเลยที่ 7ร่วมรับผิด 678,750 บาท จำเลยที่ 8 ร่วมรับผิด 1,901,405 บาทจำเลยที่ 9 ร่วมรับผิด 41,475 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินที่จำเลยแต่ละคนจะต้องรับผิดนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ 10 ถึงที่ 14 ร่วมกันนำทรัพย์สินในกองมรดกของนายนิวัฒน์มาชำระหนี้โจทก์ 788,077 บาท โดยร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 9 ให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 10 ถึงที่ 14 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 ร่วมกันรับผิดชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 รับผิด 1,942,880บาท ทั้งนี้ให้โจทก์ที่ 1 ได้รับชำระ 1,708,598 บาท และโจทก์ที่ 2 ได้รับชำระ 234,282 บาท สำหรับจำเลยที่ 2 ร่วมรับผิด395,045.50 บาท โดยให้โจทก์ที่ 1 ได้รับชำระ 309,003 บาทและโจทก์ที่ 2 ได้รับชำระ 86,042.50 บาท จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิด901,005 บาท โดยให้โจทก์ที่ 1 ได้รับชำระ 858,595 บาท และโจทก์ที่ 2 ได้รับชำระ 42,410 บาท จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิด48,955 บาท โดยให้โจทก์ที่ 1 ได้รับชำระ 27,740 บาท และโจทก์ที่ 2 ได้รับชำระ 21,215 บาท จำเลยที่ 6 ร่วมรับผิด 1,264,130 บาทโดยให้โจทก์ที่ 1 ได้รับชำระ 1,087,333 บาท และโจทก์ที่ 2ได้รับชำระ 176,797 บาท จำเลยที่ 7 ร่วมรับผิด 678,750 บาทโดยให้โจทก์ที่ 1 ได้รับชำระ 620,665 บาท และโจทก์ที่ 2 ได้รับชำระ 58,085 บาท จำเลยที่ 8 ร่วมรับผิด 1,901,405 บาท โดยให้โจทก์ที่ 1 ได้รับชำระ 1,688,338 บาท และโจทก์ที่ 2 ได้รับชำระ 213,067 บาท และจำเลยที่ 9 ร่วมรับผิด 41,475 บาท โดยให้โจทก์ที่ 1 ได้รับชำระ 20,260 บาท และโจทก์ที่ 2 ได้รับชำระ21,215 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินที่จำเลยแต่ละคนต้องรับผิดนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 6 พฤศจิกายน 2528)จนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ 10 ถึงที่ 14 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 โดยร่วมกันนำทรัพย์สินในกองมรดกของผู้ตายชำระแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จำนวน 788,077 บาท โดยให้โจทก์ที่ 1ได้รับชำระ 513,224 บาท และโจทก์ที่ 2 ได้รับชำระ 274,853 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินแต่ละจำนวนดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสำหรับจำเลยที่ 5 ให้ยกฟ้องและยกฟ้องโจทก์ที่ 3
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ที่ 1 และที่ 2 มอบให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครสวรรค์เป็นผู้เก็บเงินค่าธรรมเนียมจดทะเบียนและเงินค่าธรรมเนียมรายได้เบ็ดเตล็ดต่าง ๆ แทน แล้วให้นำส่งคลังจังหวัดนครสวรรค์เป็นรายได้แผ่นดินในนามของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 โจทก์ที่ 3 เป็นผู้ดูแลและควบคุมสำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครสวรรค์ให้ปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับและกฎหมาย ในระหว่างเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 9 และนายนิวัฒน์ต่างรับราชการอยู่ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครสวรรค์ และในขณะนั้นจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนักการไม่มีหน้าที่นำเงินรายได้แผ่นดินส่งคลังจังหวัดนครสวรรค์ ได้ยักยอกเงินค่าธรรมเนียมจดทะเบียนและเงินค่าธรรมเนียมรายได้เบ็ดเตล็ดต่าง ๆ ของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ที่ข้าราชการ ในสำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครสวรรค์มอบหมายให้ไปส่งคลังจังหวัดนครสวรรค์โดยทำการปลอมใบนำส่งเงินและประทับตราคลังจังหวัดนครสวรรค์ปลอมในใบนำส่งเงินนั้น ๆ แล้วยักยอกเงินรายได้ของโจทก์ที่ 1 ไปจำนวน 1,708,598 บาท และของโจทก์ที่ 2 ไปจำนวน 234,282 บาท มีประเด็นวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกว่า โจทก์ที่ 3 มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ทั้งสามมีฐานะเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากกันตามกฎหมาย แม้โจทก์ที่ 1และที่ 2 จะมอบหมายให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครสวรรค์เป็นผู้เก็บเงินค่าธรรมเนียมก็ตามสำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครสวรรค์ก็เป็นเพียงตัวแทนของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 เท่านั้น เมื่อเงินตามคำฟ้องที่จำเลยที่ 1 ยักยอกไปนั้นเป็นเงินค่าธรรมเนียมจดทะเบียนอันเป็นรายได้ของโจทก์ที่ 1 และเงินค่าธรรมเนียมรายได้เบ็ดเตล็ดต่าง ๆ อันเป็นรายได้ของโจทก์ที่ 2 มิใช่เงินค่าธรรมเนียมรายได้ของโจทก์ที่ 3 หรือเงินค่าธรรมเนียมรายได้ของสำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครสวรรค์ ที่โจทก์ที่ 3 เป็นผู้บังคับบัญชาควบคุมและดูแลอยู่ โจทก์ที่ 3 จึงไม่ถูกโต้แย้งสิทธิแต่ประการใด โจทก์ที่ 3 ย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง
มีประเด็นวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อต่อมาว่า จำเลยที่ 5จะต้องร่วมรับผิดด้วยหรือไม่ เห็นว่า ตามคำพยานโจทก์คงฟังได้เพียงว่า จำเลยที่ 5 เป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์งานทะเบียนการค้ามีหน้าที่รับจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท ในการปฏิบัติหน้าที่จำเลยที่ 5 คงรับเฉพาะเงินค่าธรรมเนียมจากผู้ที่มาขอจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทแล้วนำไปมอบให้แก่เจ้าหน้าที่การเงินเท่านั้นหาใช่เป็นเจ้าหน้าที่การเงินที่ได้รับมอบเงินค่าธรรมเนียมแล้วนำไปส่งคลังจังหวัดไม่ทั้งไม่มีพยานโจทก์ปากใดเบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 5 รับเงินค่าธรรมเนียมแล้วมอบเงินนั้นให้จำเลยที่ 1นำไปส่งคลังจังหวัด ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 5 กระทำละเมิดต่อโจทก์ จึงไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย
พิพากษายืน