แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้โจทก์จะเคยยื่นฎีกาและคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาออกไป เพื่อรอเสนอคำรับรองให้ฎีกาของอัยการสูงสุดในกระทงความผิดที่ต้องห้ามฎีกามาก่อน และศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาดังกล่าวแล้วก็ตาม โจทก์ก็ยังมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ส่งฎีกาของโจทก์ไปให้ผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีนี้อนุญาตให้ฎีกาอีกทางหนึ่งได้ การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนายกเทศมนตรี จำเลยที่ 2 ถึงจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นเทศมนตรี และจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นปลัดเทศบาลได้ร่วมกันประชุมคณะเทศมนตรีแล้ว มีมติให้แก้ไขแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สิน เพื่อนำไปใช้ในการจัดเก็บรายได้ของจำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นเทศบาล แม้แผนที่นี้จะมีการแสดงเส้นประว่าที่ดินบางส่วนของโจทก์พังลงน้ำไปแล้ว หรือไม่ถูกต้องตรงกับรูปแผนที่ระวางในโฉนดที่ดินของโจทก์ก็ไม่มีผลกระทบกระเทือนถึงกรรมสิทธิ์ในที่ดินของโจทก์และไม่ทำให้โจทก์ต้องเสียภาษีที่ดินเพิ่มขึ้น โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหายจากการที่จำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 5 ลงมติดังกล่าวการที่จำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานมีมติให้แก้ไขแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สินของจำเลยที่ 6 จึงมิใช่เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์อันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 คณะทำงานเพื่อดำเนินการพิจารณาข้อร้องเรียนของราษฎรที่จำเลยที่ 1 แต่งตั้งขึ้น มีความเห็นว่าอาคารของโจทก์ก่อสร้างไม่ถูกต้องตามแบบอาจเป็นอันตรายแก่ผู้อยู่อาศัย และที่ดินที่ทำการก่อสร้างอาคารมีปัญหาโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน เพราะโจทก์ถมดินเลยตลิ่งลงไปในลำน้ำเจ้าพระยา จนจำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 5มีมติแก้ไขแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สินของจำเลยที่ 6 ไปแล้วการที่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ออกคำสั่งห้ามโจทก์ใช้หรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้อาคาร และออกคำสั่งยกเลิกใบอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคาร จึงเป็นการที่เจ้าพนักงานใช้ดุลพินิจตามอำนาจหน้าที่โดยชอบ มิได้มีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์เสียหาย อันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 คณะทำงานที่จำเลยที่ 1 แต่งตั้งขึ้นทำรายงานว่าที่ดินที่จำเลยที่ 6 อนุญาตให้โจทก์สร้างรั้วคอนกรีตนั้น โจทก์ถมดินเลยตลิ่งลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นกรณีที่จำเลยที่ 6 ไม่มีอำนาจอนุญาตให้สร้างรั้วดังกล่าวได้เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากกรมเจ้าท่าก่อนการที่จำเลยที่ 2 มีคำสั่งรื้อรั้วคอนกรีตตามรายงานของคณะทำงานจึงเป็นผลต่อเนื่องจากมติที่ประชุมของคณะเทศมนตรีของจำเลยที่ 6ซึ่งเป็นมติที่มิได้มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ให้ได้รับความเสียหายจำเลยทั้งหกจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เดิม ม.ซึ่งเป็นมารดาของ ป. เป็นผู้ยื่นคำขอให้น้ำประปาของจำเลยที่ 6 ในที่ดินของ ป. ต่อมา ม. ถึงแก่กรรมแล้วป. และโจทก์ซึ่งซื้อที่ดินจาก ป. ในเวลาต่อมาได้ใช้น้ำประปาของจำเลยที่ 6 ต่อไปโดยปริยายต่อมาโจทก์เปลี่ยนท่อน้ำประปาเข้าที่ดินของโจทก์จากเดิมขนาด 6 หุน ให้ใหญ่ขึ้นเป็นขนาด2 นิ้ว และเปลี่ยนที่ตั้งมาตราวัดน้ำนั้นได้กระทำไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 6 ฉะนั้น การที่จำเลยที่ 1 มีคำสั่งตรวจการจ่ายน้ำประปาให้โจทก์ตามข้อบังคับ จึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งหกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 59, 83, 86, 91, 157, 158, 162, 165
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ลงโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 5,000 บาทจำเลยที่ 1 เป็นนายกเทศมนตรีผู้ทำประโยชน์ต่อทางราชการ โทษจำคุกจึงเป็นสมควรให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 ข้อหาอื่น ๆ ให้ยกฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 มีคำสั่งตัดการจ่ายน้ำประปาให้แก่โจทก์ทั้งสองเสียด้วยนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ระหว่างกำหนดระยะเวลายื่นฎีกา โจทก์ทั้งสองยื่นฎีกาและคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาออกไปเพื่อรอเสนอคำรับรองให้ฎีกาของอัยการสูงสุดในกระทงความผิดที่ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ศาลชั้นต้นอนุญาตครั้นระหว่างระยะเวลาที่ขยายออกไป โจทก์ทั้งสองได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ขอให้ส่งฎีกาของโจทก์ทั้งสองไปให้ผู้พิพากษาที่พิจารณาพิพากษาคดีนี้อนุญาตให้ฎีกา ศาลชั้นต้นดำเนินการใดต่อมาผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาแล้วศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์ทั้งสอง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้เป็นยุติว่าโจทก์ทั้งสองและบุคคลอื่นอีก 5 คน เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญการุณรังษี จำเลยที่ 6 เป็นนิติบุคคลประเภทเทศบาลชื่อเทศบาลเมืองนครสวรรค์ มีจำเลยที่ 1 เป็นนายกเทศมนตรี จำเลยที่ 2เป็นเทศมนตรีฝ่ายโยธารับผิดชอบงานกองช่าง จำเลยที่ 3 เป็นเทศมนตรีฝ่ายสาธารณสุขรับผิดชอบงานสาธารณสุข จำเลยที่ 4เป็นเทศมนตรีฝ่ายป้องกันบรรเทาสาธารณภัย รับผิดชอบในงานการประปาจำเลยที่ 5 เป็นปลัดเทศบาลของจำเลยที่ 6 โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 5720 ตำบลบางปลอง (ปากน้ำโพ)อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ โดยโจทก์ที่ 2 ยกให้และโจทก์ที่ 1 ได้นำมาลงหุ้นในห้างหุ้นส่วนสามัญการุณรังษีเพื่อปลูกสร้างอาคารขายหรือให้เช่าหากำไร ก่อนโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 2 ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 6 ให้ปลูกสร้างอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้สองชั้น 1 หลัง และรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กยาว66.80 เมตร ในที่ดินดังกล่าว แต่โจทก์ที่ 2 มิได้ปลูกสร้างอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ตามที่ได้รับอนุญาต หลังจากโจทก์ที่ 1 ได้รับการยกให้ที่ดินนั้นจากโจทก์ที่ 2 แล้วโจทก์ที่ 1 ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 6 ให้ปลูกสร้างอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กสองชั้นจำนวน 15คูหา และต่อมาได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 6 ให้ปลูกสร้างอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กสองชั้นจำนวน 7 คูหาอีก เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2528มีการประชุมคณะเทศมนตรีของจำเลยที่ 6 โดยจำเลยที่ 1 เป็นประธานในที่ประชุมและจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ได้เข้าร่วมประชุมด้วยและได้มีการจัดทำแผนที่ภาษีโรงเรือนและที่ดินของจำเลยที่ 6ขึ้นใหม่ ซึ่งในแผนที่ภาษีดังกล่าวมีการแสดงเส้นประว่าที่ดินบางส่วนของโจทก์ที่ 1 พังลงน้ำไปแล้ว วันที่ 7 พฤศจิกายน 2528 จำเลยที่ 1ได้ออกคำสั่งแก่โจทก์ที่ 1 ห้ามมิให้โจทก์ที่ 1 ใช้หรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้อาคารคอนกรีตเสริมเหล็กที่โจทก์ที่ 1 ได้ก่อสร้างขึ้นจำนวน 15 คูหาตามที่ได้รับอนุญาต วันที่ 18 พฤศจิกายน 2528จำเลยที่ 2 ได้ออกคำสั่งให้แก่โจทก์ที่ 1 ยกเลิกการอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กสองชั้นจำนวน 7 คูหาตามที่อนุญาตไว้นั้น และวันที่ 2 ธันวาคม 2528 จำเลยที่ 2 ได้ออกคำสั่งแก่โจทก์ที่ 1 ให้รื้อถอนรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กยาว 22 เมตรส่วนที่โจทก์ที่ 1 สร้างขึ้นบนที่ดินที่ถมขึ้นใหม่ภายใน 60 วันนับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง ส่วนรั้วส่วนที่สร้างบนที่ดินที่โจทก์ที่ 1 ยังมีสิทธิครอบครองอยู่ให้โจทก์ที่ 1 ยื่นคำขออนุญาตก่อสร้างรั้วต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นภายใน 32 วันนับแต่วันที่ได้รับคำสั่งและวันที่ 18 ธันวาคม 2528 นายประเวศ ศิวาลัย ผู้อำนวยการกองการประปาของจำเลยที่ 6 และพนักงานของจำเลยที่ 6 หลายคนได้ร่วมกันตัดต่อน้ำประปาซึ่งจ่ายน้ำประปาเข้าสู่ที่ดินโฉนดเลขที่ 5720ของโจทก์ที่ 1 มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่าที่จำเลยทั้งหกได้ร่วมกันทำแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สิน ออกคำสั่งห้ามโจทก์ที่ 1 ใช้หรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้อาคารคอนกรีตเสริมเหล็กจำนวน 15 คูหา ออกคำสั่งยกเลิกใบอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กจำนวน 7 คูหา ออกคำสั่งให้โจทก์ที่ 1 รื้อถอนรั้วคอนกรีตเสริมเหล็ก และมีคำสั่งตัดการจ่ายน้ำประปาให้โจทก์ทั้งสองนั้น จำเลยทั้งหกมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 หรือไม่
ปัญหาที่เกี่ยวกับการทำแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สินนั้นศาลฎีกาเห็นว่า การรับข้อมูลแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สินของจำเลยที่ 6 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ได้จัดทำตามคู่มือการปรับข้อมูลแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สินของกระทรวงมหาดไทยซึ่งการแก้ไขแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สินตามมติดังกล่าวได้กระทำโดยอาศัยข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ข้อมูลของกองคลังและกองช่างของจำเลยที่ 6 ประกอบแผนที่ระวางจากสำนักงานที่ดินด้วยเพื่อจะสามารถนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการจัดเก็บรายได้ของจำเลยที่ 6 ได้อย่างสมบูรณ์และสามารถให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ที่จะต้องเสียภาษีได้อย่างแท้จริงแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สินที่จัดทำขึ้นมิใช่เอกสารแสดงสิทธิในที่ดิน แม้แผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สินดังกล่าวไม่ถูกต้องตรงกับรูปแผนที่ระวางในโฉนดที่ดินก็ไม่มีผลกระทบกระเทือนถึงกรรมสิทธิ์ในที่ดินรวมตลอดทั้งสิทธิที่มีอยู่ในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสองและการที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 แก้ไขแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สินดังกล่าวไม่ทำให้โจทก์ที่ 1 ต้องเสียภาษีเกี่ยวกับที่ดินแปลงดังกล่าวเพิ่มขึ้น โจทก์ทั้งสองจึงไม่ได้รับความเสียหายจากการที่จำเลยที่ 1ถึงที่ 5 ลงมติให้แก้ไขแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สินดังกล่าวการที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานมีมติให้ทำการแก้ไขแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สินของจำเลยที่ 6 จึงมิใช่เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ปัญหาที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งหกร่วมกันกระทำผิดโดยจำเลยที่ 1 ออกคำสั่งห้ามโจทก์ที่ 1 ใช้หรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้อาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 15 คูหา และจำเลยทั้งหกร่วมกันกระทำผิดโดยจำเลยที่ 2 มีคำสั่งยกเลิกใบอนุญาตปลูกสร้างอาคาร 7 คูหาในที่ดินโฉนดเลขที่ 5720 เป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสองให้ได้รับความเสียหาย ได้ความว่าเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2528 คณะทำงานเพื่อดำเนินการพิจารณาปัญหาเกี่ยวกับการร้องเรียนของราษฎรหมู่บ้านเกาะญวน ซึ่งจำเลยที่ 1 แต่งตั้งขึ้น ได้ทำบันทึกความเห็นเกี่ยวกับสภาพที่ดินและการตรวจอาคารว่า อาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 15คูหาที่ปลูกสร้างในที่ดินโฉนดเลขที่ 5720 ก่อสร้างไม่ถูกต้องตามแบบแปลนและโครงสร้างอาจเป็นอันตรายแก่ผู้อยู่อาศัยและยังมีปัญหาโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินที่ทำการก่อสร้างอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 15 คูหา และอาคารที่ยังไม่ได้ทำการก่อสร้างอีก 7คูหาดังกล่าว เพราะโจทก์ทั้งสองถมดินเลยตลิ่งลงไปในลำน้ำเจ้าพระยาจนจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 มีมติแก้ไขแผนที่ภาษีและทะเบียนทรัพย์สินของจำเลยที่ 6 ดังกล่าวไปแล้วจำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงมีคำสั่งห้ามมิให้โจทก์ที่ 1 ใช้หรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้อาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 15 คูหา และออกคำสั่งยกเลิกใบอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคาร 7 คูหาด้วยการออกคำสั่งของจำเลยทั้งหกโดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นการที่เจ้าพนักงานใช้ดุลพินิจตามอำนาจหน้าที่โดยชอบ มิได้กระทำโดยมีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย อันจะเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ปัญหาที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งหกร่วมกันกระทำผิดโดยจำเลยที่ 2 ออกคำสั่งให้โจทก์ที่ 1 รื้อรั้วคอนกรีตเหล็กที่ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างแล้ว ยาว 22 เมตร โดยมีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสองให้ได้รับความเสียหายนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 เชื่อตามรายงานของคณะทำงานที่จำเลยที่ 1แต่งตั้งขึ้นเพื่อดำเนินการพิจารณาปัญหาเกี่ยวกับการร้องเรียนของราษฎรหมู่บ้านเกาะญวนว่า ที่ดินบริเวณที่จำเลยที่ 6 อนุญาตให้โจทก์ทั้งสองสร้างรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กนั้น โจทก์ทั้งสองถมที่ดินเลยตลิ่งไปในแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นกรณีที่จำเลยที่ 6 ไม่มีอำนาจอนุญาตให้สร้างได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากกรมเจ้าท่าก่อนจำเลยที่ 2 จึงมีคำสั่งให้รื้อรั้วเฉพาะส่วนที่ไม่มีอำนาจอนุญาตจากกรมเจ้าท่าก่อน จำเลยที่ 2 จึงมีคำสั่งให้รื้อรั้วเฉพาะส่วนที่ไม่มีอำนาจอนุญาตให้สร้างได้ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522มาตรา 42 วรรคแรก ส่วนที่เหลือที่สร้างลงในที่ดินของโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นกรณีที่จำเลยที่ 6 มีอำนาจอนุญาตให้สร้างและแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้ให้โจทก์ที่ 1 แก้ไขเปลี่ยนแปลงโดยการขออนุญาตก่อสร้างต่อจำเลยที่ 6 ให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 43วรรคแรก การที่จำเลยทั้งหกโดยจำเลยที่ 2 มีคำสั่งรื้อรั้วคอนกรีตเสริมเหล็กจึงเป็นคำสั่งอันเป็นผลต่อเนื่องมาจากมติที่ประชุมของคณะเทศมนตรีของจำเลยที่ 6 เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2528ซึ่งเป็นมติที่มิได้กระทำโดยมีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสองให้ได้รับความเสียหายดังวินิจฉัยมาแล้ว จำเลยทั้งหกจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 นายประเสริฐ ตุงคะเศรณีเป็นผู้ขอใช้น้ำประปาของจำเลยที่ 6 ในที่ดินโฉนดเลขที่ 5720ของนายประเสริฐ เมื่อนางมาลัยถึงแก่กรรมแล้ว นายประเสริฐใช้น้ำประปาในที่ดินดังกล่าวต่อมาโดยมิได้เปลี่ยนชื่อผู้ขอใช้น้ำประปา และหลังจากนายประเสริฐขายที่ดินโฉนดเลขที่ 5720ให้โจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 2 จดทะเบียนยกที่ดินนั้นให้โจทก์ที่ 1โจทก์ทั้งสองก็ใช้น้ำประปาในที่ดินดังกล่าวต่อมาโดยชำระค่าน้ำประปาให้แก่จำเลยที่ 6 ในชื่อของนางมาลัยผู้ขอใช้น้ำประปาเดิมตลอดมาโดยโจทก์ทั้งสองมิได้ยื่นคำขอใช้น้ำประปาต่อจำเลยที่ 6 แต่อย่างใดในปี 2527 โจทก์ที่ 2 ขอให้นายประสิทธิ์ แสนซื่อ หัวหน้ากองการประปาในขณะนั้นของจำเลยที่ 6 เปลี่ยนท่อน้ำประปาซึ่งต่อจากท่อเมนเข้าสู่ที่ดินโฉนดเลขที่ 5720 จากเดิมขนาด 6 หุ้น ให้ใหญ่ขึ้นเป็นขนาด 2 นิ้ว และย้ายมาตรวัดน้ำจากสถานที่ตั้งเดิมไปติดตั้งในสถานที่ใหม่ภายในที่ดินดังกล่าว ต่อมาวันที่ 17 ธันวาคม 2528นายประเวศ ศิวาลัย ผู้อำนวยการกองการประปาของจำเลยที่ 6และพนักงานของจำเลยที่ 6 ตรวจสอบพบว่ามีการเปลี่ยนท่อน้ำประปาเข้าที่ดินโฉนดเลขที่ 4720 ให้ใหญ่ขึ้น และมาตรวัดน้ำเดิมของนางมาลัยหายไป เชื่อว่าการเดินท่อน้ำประปาและใช้น้ำประปาโดยไม่ถูกต้อง นายประเวศทำหนังสือให้จำเลยที่ 1 ลงชื่อในวันที่ 18 ธันวาคม 2528 มอบอำนาจให้พนักงานของจำเลยที่ 6แจ้งความดำเนินคดีแก่โจทก์ที่ 1 ในการที่นำมาตรวัดน้ำไปติดตั้งในที่ปลูกสร้างใหม่โดยมิได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 6 และทำลายสิ่งของของจำเลยที่ 6 โดยตัดต่อท่อเมนส่งน้ำประปาและเชื่อมท่อส่งน้ำประปานำน้ำประปาเข้าไปใช้ในการก่อสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 6 แล้วงดจ่ายน้ำประปาเข้าที่ดินโฉนดเลขที่ 5720ในวันดังกล่าว เห็นว่า แม้นางมาลัยมารดานายประเสริฐเป็นผู้ยื่นคำขอใช้น้ำประปาของจำเลยที่ 6 ในที่ดินโฉนดเลขที่ 5720ของนายประเสริฐ แต่เมื่อนางมาลัยถึงแก่กรรมแล้วนายประเสริฐและโจทก์ทั้งสองผู้รับโอนที่ดินดังกล่าวต่อมาได้ใช้น้ำประปาของจำเลยที่ 6 โดยได้ชำระค่าน้ำประปาให้แก่จำเลยที่ 6 ในชื่อของนางมาลัยผู้ขอใช้น้ำประปาเดิมตลอดมาเช่นนี้ แม้โจทก์ทั้งสองไม่ได้ยื่นคำขอใช้น้ำประปาต่อจำเลยที่ 6 ใหม่ ก็ถือได้ว่าโจทก์ทั้งสองเป็นคู่สัญญากับจำเลยที่ 6 ตามสัญญาการขอใช้น้ำประปาที่นางมาลัยทำไว้กับจำเลยที่ 6 ต่อไปโดยปริยาย เมื่อโจทก์ทั้งสองเป็นคู่สัญญาตามสัญญาการขอใช้น้ำประปากับจำเลยที่ 6 โดยปริยายโจทก์ทั้งสองจึงถูกผูกพันให้ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับสำหรับการใช้น้ำประปาของจำเลยที่ 6 การที่โจทก์ทั้งสองเปลี่ยนท่อน้ำประปาเข้าที่ดินโฉนดเลขที่ 5720 จากเดิมขนาด 6 หุนให้ใหญ่ขึ้นเป็นขนาด 2 นิ้วและเปลี่ยนที่ตั้งมาตราวัดน้ำนั้นได้กระทำไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 6 เป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งสองได้ติดต่อให้นายประสิทธิ์หัวหน้ากองการประปาของจำเลยที่ 6 ในขณะนั้นช่วยเหลือกระทำให้เป็นการส่วนตัวการกระทำของโจทก์ทั้งสองดังกล่าวจึงเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับสำหรับผู้ใช้น้ำประปาของจำเลยที่ 6ข้อ 3 ซึ่งระบุว่า “การต่อท่อจากท่อใหญ่ภายนอกอาคารถึงที่ตั้งมาตรวัดน้ำรวมทั้งการติดตั้งมาตรวัดน้ำและเครื่องกั้นน้ำพร้อมทั้งกำหนดขนาดของสิ่งเหล่านั้นผู้หนึ่งผู้ใดจะกระทำมิได้เป็นหน้าที่ของการประปาโดยเฉพาะ” และข้อ 9 ซึ่งระบุว่า “ห้ามผู้ใช้น้ำทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือย้ายที่ตั้งมาตรวัดน้ำโดยไม่ได้ทำความตกลงกับการประปา” เมื่อมีการฝ่าฝืนข้อบังคับสำหรับผู้ใช้น้ำประปาของจำเลยที่ 6 เช่นนี้ จำเลยที่ 6 จึงมีสิทธิที่จะงดการส่งน้ำประปาให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 5720 ใช้ได้ตามที่ข้อบังคับสำหรับผู้ใช้น้ำประปาของจำเลยที่ 6 ข้อ 28 ระบุไว้ว่า “ถ้าผู้ใช้น้ำกระทำฝ่าฝืนข้อบังคับ การประปาทรงไว้ซึ่งสิทธิที่จะงดการส่งน้ำให้ใช้” จำเลยทั้งหกจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
พิพากษายืน