แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องและจำเลยฟ้องแย้งเรียกร้องให้อีกฝ่ายหนึ่งชำระเงินแก่ตน คดีเสร็จเด็ดขาดไปโดยคู่ความได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลได้มีคำพิพากษาตามยอม สัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2ได้ระบุไว้ว่า โจทก์จำเลยต่างไม่ติดใจเรียกร้องอื่นใดกันอีกซึ่งหมายความว่า จำเลยได้สละข้อเรียกร้องของตนตามฟ้องแย้งแล้วถือว่าข้อเรียกร้องตามฟ้องแย้งของจำเลยได้ระงับสิ้นไปด้วยผลของสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852และคำพิพากษาตามยอมของศาลแรงงานกลางได้พิพากษารวมถึงข้อเรียกร้องตามฟ้องแย้งของจำเลยด้วยแล้ว ศาลแรงงานกลางไม่จำต้องมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งของจำเลยอีก
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยฟ้องเรียกเงินค่าประกันการเข้าทำงาน เงินสะสม เงินค่านายหน้าจากการขายสินค้าและเงินค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีจากจำเลย จำเลยให้การต่อสู้ว่า ไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งให้โจทก์ใช้เงินที่โจทก์ฉ้อโกงจำเลยไป ค่าเสียหายอันเกิดจากการที่โจทก์ลาออกจากงานโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า และหนี้ที่โจทก์ก่อความผูกพันไว้แก่จำเลย โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ต้องรับผิดตามฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย ก่อนสืบพยานศาลแรงงานกลางไกล่เกลี่ย คู่ความตกลงกันได้ จึงได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2532 ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลแรงงานกลาง ลงวันที่27 พฤศจิกายน 2532 มิได้กล่าวถึงเรื่องฟ้องแย้งของจำเลยแต่ประการใดซึ่งคำฟ้องแย้งของจำเลยก็ถือเสมือนเป็นคำฟ้อง ถ้าศาลมิได้มีคำสั่งในส่วนของฟ้องแย้งแล้ว กระบวนพิจารณาคดีนี้จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน มาตรา 31 ขอให้ศาลแรงงานกลางมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งของจำเลยต่อไปด้วย ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2 ระบุว่า โจทก์จำเลยต่างยอมตามข้อ 1 ไม่ติดใจเรียกร้องอื่นใดกันอีกโดยตามสัญญายอมข้อ 1 จำเลยยอมชำระเงินให้โจทก์13,022.92 บาท ถือได้ว่าจำเลยไม่ติดใจเรียกร้องโจทก์ตามฟ้องแย้งแล้วจึงไม่จำต้องมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งของจำเลยอีก ยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางจำต้องมีคำสั่งหรือคำพิพากษาเกี่ยวกับฟ้องแย้งของจำเลยอีกหรือไม่ ข้อเท็จจริงปรากฏตามสำนวนว่าโจทก์และจำเลยต่างฟ้องเรียกร้องให้อีกฝ่ายหนึ่งชำระเงินแก่ตน ครั้นถึงวันนัดสืบพยานจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบก่อน ศาลแรงงานกลางได้ไกล่เกลี่ยให้คู่ความปรองดองกัน คู่ความยอมตกลงกันตามที่ศาลไกล่เกลี่ยโดยขอให้ศาลทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้ ศาลแรงงานกลางจึงจัดการให้ตามที่คู่ความประสงค์ ดังปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลแรงงานกลาง ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2532 และศาลแรงงานกลางได้จัดทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้คู่ความลงชื่อต่อหน้าศาลในวันนั้น มีข้อความว่า “ข้าพเจ้าโจทก์และจำเลย ขอทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลมีข้อความตามที่จะกล่าวต่อไปนี้
ข้อ 1. จำเลยยอมชำระเงินจำนวน 13,022.92 บาท แก่โจทก์โดยจะชำระให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 19 ธันวาคม 2532 หากผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที
ข้อ 2. โจทก์จำเลยต่างยอมตามข้อ 1 ไม่ติดใจเรียกร้องอื่นใดกันอีก”
เมื่อคู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวแล้วศาลแรงงานกลางก็ได้มีคำพิพากษาตามยอมในวันนั้น พิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามข้อ 2 แห่งสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวข้างต้น ได้ระบุไว้ชัดเจนว่า โจทก์จำเลยต่างไม่ติดใจเรียกร้องอื่นใดกันอีก ซึ่งหมายความอยู่ในตัวว่า จำเลยได้สละข้อเรียกร้องของตนตามฟ้องแย้งแล้ว ต้องถือว่าข้อเรียกร้องตามฟ้องแย้งของจำเลยได้ระงับสิ้นไปด้วยผลของสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 และคำพิพากษาตามยอมของศาลแรงงานกลางซึ่งพิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น เป็นการพิพากษารวมถึงข้อเรียกร้องตามฟ้องแย้งของจำเลยด้วยแล้วจึงหาจำต้องมีคำสั่งหรือคำพิพากษาในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งของจำเลยอีกไม่ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยชอบแล้วอุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน