แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผลของมาตรา 441 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่บัญญัติให้ผู้ทำละเมิดเป็นอันหลุดพ้นจากหนี้ที่ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หากว่าได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลซึ่งเป็นผู้ครองสังหาริมทรัพย์อยู่ในขณะถูกทำละเมิดนี้เอง ย่อมแสดงให้เห็นว่าผู้ครองสังหาริมทรัพย์อยู่ในขณะถูกทำละเมิดมีสิทธิรับชำระหนี้ค่าสินไหมทดแทนจากผู้ทำละเมิดได้แม้กระทั่งผู้ครองสังหาริมทรัพย์นั้นจะไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ก็ตาม เมื่อมีสิทธิที่จะรับชำระหนี้ได้ก็ย่อมมีสิทธิที่จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับการรับชำระหนี้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีเช่นนี้ได้เช่นกัน ดังนั้น สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างจำเลยกับ ส.ย่อมมีผลบังคับได้แม้ส. จะไม่ใช่เจ้าของรถยนต์คันที่ขับก็ตามและผลแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมทำให้สิทธิเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้สละแล้วนั้นระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 โจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะรับช่วงสิทธิได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถด้วยความประมาทชนรถคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย โจทก์ได้ทำการซ่อมแซมรถคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้เป็นเงินจำนวน 70,382 บาท โจทก์จึงรับช่วงสิทธิมา โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระค่าเสียหายแต่จำเลยไม่ชำระขอให้บังคับจำเลยชำระเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า เหตุเกิดขึ้นเพราะความประมาทของนายสมเกียรติผู้ขับรถคันที่โจทก์รับประกันภัย หลังเกิดเหตุแล้วนายสมเกียรติกับจำเลยตกลงกันได้ โดยต่างฝ่ายต่างไม่เรียกร้องค่าเสียหายต่อกันและเจ้าพนักงานตำรวจลงบันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดีทั้งสองฝ่ายต่างได้ลงลายมือชื่อต่อหน้าพนักงานสอบสวน สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายของนายสมเกียรติที่มีต่อจำเลยจึงระงับไป โจทก์ไม่มีสิทธิรับช่วงสิทธิใด ๆ อีก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาว่านายสมเกียรติเป็นเพียงผู้ขับรถยนต์เท่านั้นไม่ใช่เจ้าของรถยนต์จึงไม่มีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความได้ คดีนี้โจทก์ฎีกาได้แต่เฉพาะข้อกฎหมายศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238ประกอบมาตรา 247 ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า นายสมเกียรติเป็นผู้ขับรถยนต์คันที่โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยในขณะเฉี่ยวชนกันรถยนต์คันที่จำเลยขับ นายสมเกียรติจึงเป็นผู้ครอบครองและขับรถยนต์ซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ในขณะเกิดเหตุ หากจำเลยรับผิดและใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายสมเกียรติ จำเลยย่อมหลุดพ้นไปเพราะการที่ได้ใช้ให้เช่นนั้น แม้บุคคลภายนอกจะเป็นเจ้าของทรัพย์ เว้นแต่สิทธิของบุคคลภายนอกเช่นนั้นจะเป็นที่รู้อยู่แก่ตนหรือมิได้รู้เพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 441 และผลของมาตรา 441 ที่บัญญัติให้ผู้ทำละเมิดเป็นอันหลุดพ้นจากหนี้ที่ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนหากว่าได้ใช้ค่าสินไหมให้แก่บุคคลซึ่งเป็นผู้ครองสังหาริมทรัพย์อยู่ในขณะถูกทำละเมิดนี้เอง ย่อมแสดงให้เห็นว่า ผู้ครองสังหาริมทรัพย์อยู่ในขณะถูกทำละเมิดมีสิทธิรับชำระค่าสินไหมทดแทนจากผู้ทำละเมิดได้แม้กระทั่งผู้ครองสังหาริมทรัพย์นั้นจะไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ก็ตามเมื่อมีสิทธิที่จะรับชำระหนี้ได้ก็ย่อมมีสิทธิที่จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับการรับชำระหนี้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีเช่นนี้ได้เช่นกัน ดังนั้น สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างจำเลยกับนายสมเกียรติย่อมมีผลบังคับได้แม้นายสมเกียรติจะไม่ใช่เจ้าของรถยนต์คันที่ขับก็ตาม และผลแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมทำให้สิทธิเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละแล้วนั้นระงับสิ้นไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 852 โจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะรับช่วงสิทธิได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน