แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษา และลงชื่อยอมรับที่จะมาฟังคำสั่งศาลวันที่ 3 พฤษภาคม 2544 ซึ่งพ้นกำหนดที่ศาลอนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินครั้งสุดท้าย เท่ากับจำเลยยอมรับผลในกรณีที่ศาลชั้นต้นจะไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลา ดังนั้น แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2544 โดยมิได้สั่งในวันที่ 3 พฤษภาคม 2544 ก็ย่อมมีผลเช่นเดียวกัน และไม่จำต้องกำหนดให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางอีก เพราะมิใช่เป็นกรณีชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลไม่ถูกต้องครบถ้วนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2545 ให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน ต่อมาวันที่ 5 มีนาคม 2544 จำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนโจทก์มาวางภายใน 7 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง วันที่ 14 มีนาคม 2544 จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมไปจนถึงวันที่ 13 เมษายน 2544 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตถึงวันที่ 3 เมษายน 2544 เมื่อครบกำหนดจำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินออกไปจนถึงวันที่ 3 พฤษภาคม 2544 ศาลชั้นต้นอนุญาตถึงวันที่ 27 เมษายน 2544 ครั้นวันที่ 26 เมษายน 2544 จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินออกไปอีก ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า มีเหตุที่จะอนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคือวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2544 จนถึงวันที่ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาวางเงินครั้งสุดท้ายคือวันที่ 27 เมษายน 2544 เป็นเวลา 2 เดือนเศษ นับว่าจำเลยมีเวลาเพียงพอที่จะเตรียมเงินค่าธรรมเนียม ที่จำเลยอ้างในคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินว่า จำเลยยังไม่สามารถหาเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวได้เนื่องจากเป็นจำนวนเงินที่สูงมาก ประกอบกับจำเลยถูกฟ้องหลายคดีแต่ละคดีมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีสูง ทำให้จำเลยไม่สามารถหาเงินมาวางได้ทันภายในกำหนดนั้น ก็เป็นข้ออ้างที่เลื่อนลอยไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่จะทำให้น่าเชื่อว่าจำเลยจะวางเงินค่าธรรมเนียมที่ต้องใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ภายในกำหนดเวลาที่ขอขยายไว้ กรณียังถือไม่ได้ว่ามีพฤติการณ์พิเศษที่ศาลจะขยายระยะเวลาให้ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ที่ศาลล่างทั้งสองไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาออกไปอีกจึงชอบแล้ว
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ในคำร้องฉบับลงวันที่ 26 เมษายน 2544 ระบุให้จำเลยมาทราบคำสั่งศาลวันที่ 3 พฤษภาคม 2544 ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องฉบับดังกล่าวเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2544 จึงเป็นการพ้นวิสัยที่จำเลยจะทราบได้ว่าต้องนำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนโจทก์มาวางศาลภายในวันใดเนื่องจากพ้นกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตแล้ว การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องโดยมิได้กำหนดให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมดังกล่าวมาวางจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบนั้น เห็นว่า การที่จำเลยลงชื่อยอมรับที่จะมาฟังคำสั่งศาลวันที่ 3 พฤษภาคม 2544 ซึ่งพ้นกำหนดที่ศาลอนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินครั้งสุดท้ายคือวันที่ 27 เมษายน 2544 เท่ากับจำเลยยอมรับผลในกรณีที่ศาลชั้นต้นจะไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาและสั่งยกคำร้องของจำเลยลงวันที่ 26 เมษายน 2544 ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของจำเลยในวันที่ 10 พฤษภาคม 2544 โดยมิได้สั่งในวันที่ 3 พฤษภาคม 2544 ย่อมมีผลเช่นเดียวกัน และไม่จำต้องกำหนดให้จำเลยนำเงินค่าธรรมเนียมมาวางอีก เพราะกรณีเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องการมิได้ชำระหรือวางเงินค่าธรรมเนียมศาลโดยถูกต้องครบถ้วนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 ที่ศาลล่างจะต้องสั่งให้ชำระหรือวางค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วนเสียก่อน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.