คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5505/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรในกรณีที่ชายผู้ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นบิดาได้ถึงแก่ความตายไปก่อนเสนอคดีนั้น จะเสนอคดีเป็นคำฟ้องโดยยื่นคำฟ้องผู้ที่ถึงแก่ความตายไปแล้วไม่ได้ เพราะไม่มีตัวความที่จะฟ้องเป็นจำเลยและในเบื้องต้นก็ยังไม่ทราบว่าจะมีผู้ใดคัดค้านหรือไม่ การเริ่มคดีในชั้นแรกจึงต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทขึ้นมาก่อน เมื่อมีผู้มีส่วนได้เสียร้องคัดค้านขึ้นมา ศาลจึงจะดำเนินคดีต่อไปอย่างคดีมีข้อพิพาท

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องเป็นมารดาและเป็นผู้ปกครองของเด็กชายพลลสิทธิ์หรือต้อง มูลพฤกษ์ กับเด็กหญิงศิวาพรหรือต่อมูลพฤกษ์ อายุ 8 ปี และ 6 ปี ตามลำดับ ผู้ร้องได้อยู่กินกับนายเพี้ยน มูลพฤกษ์ ผู้ตายฉันสามีภรรยาอย่างเปิดเผยตั้งแต่ปี 2520ผู้ร้องได้แจ้งทะเบียนคนเกิดของเด็กชายพลสิทธิ์ต่อนายทะเบียนเขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2523ว่านายเพี้ยนเป็นบิดาและผู้ร้องเป็นมารดาโดยนายเพี้ยนรู้เห็นยินยอม ต่อมาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2525 ผู้ร้องได้แจ้งทะเบียนคนเกิดของเด็กหญิงศิวาพรต่อนายทะเบียนเขตบางกอกน้อยกรุงเทพมหานคร ว่านายเพี้ยนเป็นบิดาและผู้ร้องเป็นมารดาโดยนายเพี้ยนรู้เห็นยินยอม ต่อมาได้มีการแจ้งเปลี่ยนชื่อเด็กชายต้องเป็นพลลสิทธิ์ ณ ที่ว่าการเขตพญาไท กรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2527 และได้มีการแจ้งเปลี่ยนชื่อเด็กหญิงต่อเป็นศิวาพร ณ ที่ว่าการอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรีเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2527 ผู้ร้องเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองและอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองคน ผู้ร้องและนายเพี้ยนได้อยู่กินฉันสามีภรรยา มีพฤติการณ์ที่รู้กันอยู่ทั่วไปว่าผู้เยาว์ทั้งสองเป็นบุตรของนายเพี้ยน นายเพี้ยนยินยอมให้ผู้เยาว์ทั้งสองใช้นามสกุลและแสดงออกโดยเปิดเผยต่อบุคคลภายนอกว่าผู้เยาว์ทั้งสองเป็นบุตรของตน และส่งเสียอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ทั้งสองมาตลอดเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2531 นายเพี้ยนได้ถึงแก่ความตายเพราะอุบัติเหตุรถชนกัน ผู้ตายยังมิได้จดทะเบียนรับรองผู้เยาว์ทั้งสองว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้เยาว์ทั้งสองมีสิทธิรับมรดกของผู้ตาย ผู้เยาว์ทั้งสองอายุไม่ครบ 15 ปีบริบูรณ์ ผู้ร้องจึงต้องยื่นคำร้องขอแทนผู้เยาว์ ขอให้พิพากษาว่าเด็กชายพลลสิทธิ์และเด็กหญิงศิวาพรเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเพี้ยน
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเพี้ยน นายเพี้ยนไม่เคยอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยากับผู้ร้อง ดังนั้นนายเพี้ยนไม่ได้เป็นบิดาของเด็กชายพลลสิทธิ์และเด็กหญิงศิวาพรสำหรับสูติบัตร นายเพี้ยนไม่ได้เป็นผู้แจ้งและไม่ยินยอมแต่อย่างใด เด็กชายพลลสิทธิ์และเด็กหญิงศิวาพรมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ที่เดียวกับนายเพี้ยน เด็กทั้งสองคนอายุ9 ปี และ 6 ปีแล้ว หากเป็นบุตรของนายเพี้ยนจริง นายเพี้ยนก็น่าจะจดทะเบียนรับรองบุตรแล้ว ระหว่างนายเพี้ยนมีชีวิตอยู่นายเพี้ยนมิได้เคยส่งเสียเลี้ยงดูเด็กทั้งสองคนแต่อย่างใดอีกทั้งไม่เคยแสดงพฤติการณ์ใด ๆ ให้บุคคลภายนอกทราบว่าผู้เยาว์ทั้งสองเป็นบุตรนายเพี้ยนแต่ประการใด ขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกคำร้องขอ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า เด็กชายพลลสิทธิ์หรือต้องมูลพฤกษ์ และเด็กหญิงศิวาพรหรือต่อ มูลพฤกษ์ เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายเพี้ยน มูลพฤกษ์ ผู้ตาย
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับฎีกาผู้คัดค้านที่ว่า การขอให้รับรองเด็กเป็นบุตรนั้นผู้ร้องชอบจะต้องเสนอคดีเป็นคำฟ้อง การเสนอเป็นคำร้องไม่ชอบนั้น เห็นว่า ขณะเสนอคดีนี้นายเพี้ยนได้ถึงแก่ความตายแล้ว ผู้ร้องจะเสนอคดีเป็นคำฟ้องโดยยื่นคำฟ้องผู้ที่ถึงแก่ความตายไปแล้วไม่ได้ เพราะไม่มีตัวความที่จะฟ้องเป็นจำเลย และในเบื้องต้นก็ยังไม่ทราบว่าจะมีผู้ใดคัดค้านหรือไม่การเริ่มคดีในชั้นแรกจึงต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทขึ้นมาก่อน เมื่อมีผู้มีส่วนได้เสียร้องคัดค้านขึ้นมา ศาลจึงจะดำเนินคดีต่อไปอย่างคดีมีข้อพิพาท ผู้ร้องเสนอคดีเป็นคำร้องขอเพื่อให้มีการประกาศแสวงหาผู้คัดค้านชอบแล้ว ส่วนฎีกาผู้คัดค้านที่ว่า มีพฤติการณ์ทั่วไปตลอดมาว่าเด็กชายพลลสิทธิ์และเด็กหญิงศิวาพรเป็นบุตรของนายเพี้ยน มูลพฤกษ์ หรือไม่ ข้อนี้ตามทางนำสืบของผู้ร้องมีเหตุผลฟังได้เพียงว่าผู้ร้องกับนายเพี้ยนมีการติดต่อกัน แต่ไม่มีหลักฐานใดจะฟังเป็นยุติว่ามีพฤติการณ์ที่รู้กันทั่วไปตลอดมาว่าเด็กชายพลลสิทธิ์และเด็กหญิงศิวาพรเป็นบุตรของนายเพี้ยน
พิพากษากลับ ยกคำร้องขอ

Share