แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยรับว่า”ได้รับหนังสือบอกกล่าวล่วงหน้า 1 เดือนจริงตามฟ้องโจทก์” ดังนี้เป็นการรับโดยชัดแจ้งว่า คำบอกเลิกนั้นมีผลใช้ได้ด้วย.
ข้อกฏหมายที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแต่ในศาลชั้นต้นนั้นศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้.
ผู้เช่าที่อยู่ในที่เช่าภายหลังสัญญาเช่าระงับลงโดยผู้ให้เช่าบอกเลิกนั้น ได้ชื่อว่า เป็นผู้ละเมิด หาใช่ผู้เช่าที่จะได้รับความคุ้มครอง จาก พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยไม่ชำระค่าเช่าตึกแถวให้โจทก์ โจทก์ได้ให้ทนายความมีหนังสือแจ้งล่วงหน้าบอกเลิกสัญญาเช่า ให้จำเลยออกจากที่เช่าภายใน ๑ เดือน จำเลยได้รับหนังสือสองฉะบับแล้วก็เพิกเฉยเสีย จึงขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายและค่าเช่าที่ค้าง และขอให้ขับไล่จำเลย
จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยได้นำเงินค่าเช่าไปชำระให้โจทก์แต่โจทก์ไม่ยอมรับ โจทก์ไม่เคยส่งคำเตือนให้จำเลยทราบก่อนฟ้อง แต่จำเลยแถลงรับในรายงานพิจารณาของศาลว่า “ได้รับหนังสือบอกกล่าวล่วงหน้า ๑ เดือนจริงตามฟ้องโจทก์” ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ขับไล่จำเลย.
จำเลยฎีกา, ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อที่จำเลยรับตามรายงานพิจารณาจำเลยเถียงว่า มิได้รับว่าคำบอกกล่าวเลิกสัญญามีผลใช้ได้ เพราะไม่ปรากฏว่า โจทก์ได้มอบหมายให้อำนาจทนายบอกเลิกนั้น ฟังไม่ได้ เพราะปรากฏชัดในใบแถลงรับของจำเลยแล้วว่าจำเลยได้รับคำบอกกล่าวจริงดังฟ้องโจทก์และจำเลยไม่เคยยกประเด็นเรื่องการมอบอำนาจใช้ไม่ได้นี้ขึ้น โต้เถียงในศาลชั้นต้น จะยกมาเป็นข้อฎีกาไม่ชอบ ส่วนข้อที่จำเลยอ้างว่า จำเลยควรได้รับความคุ้มครองจาก พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อสัญญาเช่าได้ระงับลงแล้ว จำเลยมีหน้าที่ต้องส่งคืนทรัพย์ที่เช่าตามคำเรียกร้องของผู้ให้เช่า การที่จำเลยยังขัดขืนอยู่ จึงเป็นการยึดครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยปราศจากอำนาจอันชอบด้วยกฏหมาย จำเลยได้ชื่อว่าเป็นผู้ละเมิดในทรัพย์ของผู้อื่นอยู่ก่อนวันใช้ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าแล้ว จึงอ้างความคุ้มครองจาก พ.ร.บ.นั้นไม่ได้ พิพากษายืนตาม.