แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่าง บ. กับ อ.ที่จำเลยนำมาสืบเป็นหลักฐานประกอบพยานจำเลย เอกสารฉบับนี้โจทก์มิได้เป็นผู้เก็บรักษาและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆกับการซื้อที่พิพาทระหว่าง บ. กับ อ. กรณีเช่นนี้จำเลยจึงชอบที่จะนำสืบได้โดยไม่จำต้องถามค้านโจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 89
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นพี่จำเลย ที่ดินมือเปล่าหมู่ที่ 2ตำบลเหนือ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ เนื้อที่ประมาณ 7 ไร่ เป็นของโจทก์ ที่ดินส่วนด้านทิศเหนือเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ซึ่งเป็นที่สวนและโจทก์ปลูกบ้านไว้ชั่วคราวโจทก์ซื้อมาจากนายบุ นางออ ส่วนด้านทิศใต้ซึ่งใช้ทำนาเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่นั้น ด้านทิศตะวันออก 2 ไร่เศษ โจทก์ซื้อมาจากนายสมัย นางแปลง ด้านทิศตะวันตก 2 ไร่เศษ โจทก์ได้มาโดยนายเบ็ญ กุไรรัตน์ บิดายกให้ โจทก์ได้ครอบครองทำกินเพื่อตนโดยความสงบและโดยเปิดเผยมาเป็นเวลา 30 ปีแล้ว เมื่อเดือนมีนาคม 2532 จำเลยอ้างนายเบ็ญบิดาซึ่งถึงแก่กรรมเมื่อวันที่25 กุมภาพันธ์ 2524 ทำพินัยกรรมยกที่ดิน น.ส.3 เนื้อที่ประมาณ9 ไร่ ให้จำเลย แล้วขับไล่โจทก์ออกจากที่สวนและบ้านชั่วคราวของโจทก์ ต่อมาเดือนเมษายน 2532 จำเลยนำเจ้าพนักงานรังวัดที่ดินตามพินัยกรรมเพื่อออกโฉนด แต่รังวัดเอาที่ดินทั้ง 7 ไร่ของโจทก์รวมเข้าด้วย เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ขอให้พิพากษาว่าที่ดินในอาณาบริเวณเส้นสีดำ สีน้ำเงิน สีเขียว ภายในเส้นไข่ปลาสีแดงตามแผนที่ท้ายฟ้องเนื้อที่ประมาณ 7 ไร่ เป็นของโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า นายเบ็ญบิดาทำพินัยกรรมยกที่ดิน น.ส.3ตำบลเหนือ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ ให้จำเลยเป็นที่ดินที่ส่วนหนึ่งนายเบ็ญได้รับมรดกมาจากบิดามารดาอีกส่วนหนึ่งคือที่ดินในอาณาบริเวณกับเส้นสีเขียว ซึ่งความจริงเป็นที่แปลงเดียวกันมีเนื้อที่ 4 ไร่ 2 งาน นายเบ็ญซื้อจากนางอ้อ กุลัยรัด เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2497 และได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์รวมกับที่ดินที่ได้รับมรดกจากบิดามารดาโดยขอออกในปี 2508 จำเลยทำประโยชน์ในที่ดินตาม น.ส.3 ฉบับนี้เกือบทั้งหมด โจทก์คงครอบครองทำประโยชน์เฉพาะที่ดินในอาณาบริเวณเส้นสีเขียว แต่เป็นการครอบครองแทนบิดา ภายหลังบิดาตายก็ครอบครองแทนจำเลย โจทก์จึงไม่ได้สิทธิครอบครอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ที่ดินภายในบริเวณเส้นหมึกสีน้ำเงินเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ และเส้นหมึกสีดำเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ตามแผนที่ท้ายฟ้องหรือตามตำแหน่งหมายเลข 1, 2, 3, 4, 5 ในแผ่นที่เอกสารหมาย จ.ล.1 เป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
โจทก์และจำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันคงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์จำเลยต่างเป็นบุตรนายเบ็ญ กุไรรัตน์ ซึ่งถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2524ส่วนนางตุ้มมารดาโจทก์จำเลยได้ถึงแก่กรรมไปก่อนหน้านั้นหลายปีที่พิพาทแปลงแรกคือที่ดินในเส้นสีดำ แปลงที่สองคือที่ดินในเส้นสีเขียว ตามแผนที่ท้ายฟ้อง ซึ่งตรงกับที่ดินตำแหน่งหมายเลข 1, 2, 3, 4, 5 และตำแหน่งหมายเลข 4, 5, 6, 7, 8ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.ล.1 เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 27 ของนายเบ็ญก่อนถึงแก่กรรมนายเบ็ญได้ทำพินัยกรรมฝ่ายเมือง ตามเอกสารหมาย จ.4 (ตรงกับเอกสารหมาย ล.2) ระบุยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ดังกล่าวทั้งหมดให้แก่จำเลย ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่าที่พิพาททั้งสองแปลงดังกล่าวแล้วข้างต้นเป็นของโจทก์หรือไม่โจทก์มีตัวโจทก์ นายคำมาย วิเชียร นางเพียงใจ ตั้งใจนายสังข์ทอง สำราญเนตร และนายบุญมา สำราญรื่น เป็นพยานเบิกความว่า โจทก์ซื้อที่พิพาทแปลงแรกมาจากนายบุ นางออส่วนแปลงที่สองโจทก์ได้มาโดยนายเบ็ญบิดายกให้ แต่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดประกอบ นายคำมาย นางเพียงใจ นายสังข์ทองและนายบุญมา ไม่มีใครมีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องกับการซื้อขายและการยกให้ที่ดิน ทุกคนล้วนแต่เพิ่งจะมารู้เรื่องราวจากการบอกเล่าของโจทก์ในภายหลังทั้งนั้น การทำพินัยกรรมของนายเบ็ญที่อำเภอ นายบุญมาพยานโจทก์ก็รู้เห็นและลงชื่อเป็นพยานแต่นายบุญมาก็มิได้ทักท้วงหรือแจ้งต่อนายอำเภอว่านายเบ็ญจะทำพินัยกรรมยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 27ให้จำเลยทั้งหมด โดยรวมถึงที่พิพาทที่ยกให้แก่โจทก์แล้วไม่ได้ทั้งโจทก์ก็ไม่เคยแจ้งการครอบครอง ไม่เคยขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และไม่เคยดำเนินการใด ๆ เพื่อขอออกโฉนดที่พิพาทให้สมกับที่อ้างว่าเป็นเจ้าของและครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทนานกว่าสามสิบปี จำเลยมีตัวจำเลย นางเพ็ญศรี กุไรรัตน์บุตรคนเล็กของนายเบ็ญ นางบัวลา กุไรรัตน์ ภริยานายชนะ กุไรรัตน์ บุตรอีกคนหนึ่งของนายเบ็ญ และนายคำภูสำราญพงษ์ เป็นพยานเบิกความว่า นายเบ็ญเป็นผู้ซื้อที่พิพาททั้งสองแปลงมาจากนางออและได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาทเมื่อปี 2508 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากที่โจทก์อ้างว่านายเบ็ญยกที่พิพาทแปลงที่สองให้โจทก์ถึงแปดปี หลังนายเบ็ญถึงแก่กรรมโจทก์และจำเลยต่างผลัดกันทำนาในที่พิพาทแปลงที่สองตลอดมา กับมีนายประกาศ กุไรรัตน์ บุตรนายชนะ นางบัวลาเป็นพยานเบิกความสอดคล้องกับจำเลย นางบัวลา และนางเพ็ญศรีว่าจำเลยให้นายประกาศกับนางบัวลาอาศัยอยู่ในกระท่อมในที่พิพาทแปลงแรกมานานกว่าสิบปีแล้ว นอกจากนี้จำเลยยังมีหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายเบ็ญกับนางออตามเอกสารหมาย ล.4 เป็นหลักฐานประกอบเอกสารฉบับนี้โจทก์มิได้เป็นผู้เก็บรักษาและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆกับการซื้อที่พิพาทระหว่างนายเบ็ญกับนางออ เช่นนี้จำเลยจึงชอบที่จะนำสืบได้โดยไม่จำต้องถามค้านโจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนไว้ดังที่โจทก์ฎีกาพยานหลักฐานของจำเลยจึงมีน้ำหนักดีกว่าน่าเชื่อว่านายเบ็ญเป็นผู้ซื้อที่พิพาททั้งสองแปลงมาจากนางออและนายเบ็ญมิได้ยกที่พิพาทแปลงใดให้แก่โจทก์ โจทก์มิได้เป็นเจ้าของและไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาททั้งสองแปลงศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่าที่พิพาทแปลงแรกเป็นของโจทก์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษาแก้เป็นให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น