คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 549/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์ อันจะเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์นั้นอาจขู่ตรงๆ ก็ได้ หรือใช้ถ้อยคำทำกิริยาหรือทำประการใดอันเป็นการแสดงให้ผู้ถูกขู่เข็ญเข้าใจได้ว่าจะได้รับภัยจากการกระทำของผู้ขู่เข็ญก็ได้
จำเลยกับพวกอีก 3 คนซึ่งไม่ปรากฏว่าเป็นคนที่คุ้นเคยรักชอบพอกับผู้เสียหายพอที่จะขอเงินกันได้ มาเตะรั้วสังกะสีและระเบียงเรือนของผู้เสียหาย ผู้เสียหายออกมาดู จำเลยขอเงิน 12 บาท ผู้เสียหายว่าไม่มี จำเลยกับพวกช่วยกันเตะรั้วและระเบียงเรือนจนสังกะสีรั้วหลุดออก 3 แผ่น และไม้ระแนงระเบียงเรือนหลุดหลายอันถือได้ว่าเป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย ผู้เสียหายกลัวรั้วจะพังและกลัวจะถูกทำร้าย จึงต้องยอมให้เงินแก่จำเลยไป 10 บาท จำเลยรับเงินแล้งยังพูดขู่เข็ญอีกว่า ‘ทีหลังถ้ากูมาอยากได้อะไร ให้ตามใจกูนะ’ ซึ่งเข้าใจได้ว่าถ้าไม่ให้จะต้องถูกทำร้าย การกระทำของจำเลยครบองค์ความผิดฐานปล้นทรัพย์แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีก 3 คนซึ่งยังจับตัวไม่ได้ บังอาจร่วมกันเป็นคนร้ายปล้นเอาเงินสดจำนวน 10 บาทของนายบุญเพ็ง พลธะรัตน์ไปโดยทุจริต ในขณะปล้นทรัพย์ จำเลยได้ขู่เข็ญจะทำร้าย และเตะถีบรั้วบ้านและพนักระเบียงบ้านเจ้าทรัพย์ ทั้งนี้ เพื่อให้เจ้าทรัพย์ส่งทรัพย์ให้ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 83

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่า จำเลยมิได้ใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายแก่ตัวผู้เสียหาย จึงไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ แต่เป็นความผิดต่อเสรีภาพ พิพากษาว่าจำเลยผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรค 2 ให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน

โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคต้นให้จำคุก 5 ปี

จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า วันเกิดเหตุจำเลยกับพวกอีก 3 คนไม่มีอาวุธติดตัว ได้เตะรั้วสังกะสีและระเบียงเรือนผู้เสียหาย ผู้เสียหายออกมาดู จำเลยพูดขอเงิน 12 บาท ผู้เสียหายตอบว่าไม่มีจำเลยกับพวกชวนกันเตะรั้วและระเบียงเรือนจนสังกะสีรั้วหลุดออก 3 แผ่น และไม้ระแนงระเบียงเรือนหลุดหลายอัน ผู้เสียหายกลัวรั้วจะพังและกลัวจำเลยกับพวกจะทำร้าย จึงให้เงินจำเลยไป 10 บาท จำเลยรับเงินแล้วพูดว่า “ทีหลังถ้ากูมา อยากได้อะไร ให้ตามใจกูนะ” แล้วจำเลยกับพวกก็พากันไป เห็นว่า องค์ประกอบความผิดฐานปล้นทรัพย์ นอกจากลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายแล้ว ถ้ามีการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์ก็เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ได้ การขู่เข็ญอาจขู่ตรง ๆ หรือใช้ถ้อยคำทำกิริยา หรือทำประการใดให้เข้าใจได้เช่นนั้น เป็นการแสดงให้ผู้ถูกขู่เข็ญเข้าใจว่าได้รับภัยจากการกระทำของผู้ขู่เข็ญ การใช้กำลังทำร้ายต่อทรัพย์สินไม่ใช่ใช้กำลังประทุษร้ายก็จริง แต่การกระทำเช่นนั้นอาจเป็นการขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายก็ได้ และการที่จำเลยพูดขอเงินผู้เสียหาย ผู้เสียหายไม่ให้ จำเลยกับพวกกลับแสดงอาการขู่เข็ญหนักขึ้นโดยเตะรั้วและระเบียงเรือนจดสังกะสีรั้วพังและไม้ระแนงระเบียงเรือนหลุดหลายอัน เป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าเป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย ทำให้ผู้เสียหายมีความกลัวว่าจำเลยกับพวกจะใช้กำลังประทุษร้าย จึงต้องจำยอมให้เงินแก่จำเลย จำเลยได้รับเงินแล้วยังพูดขู่เข็ญอีกว่า “ทีหลังถ้ากูมา อยากได้อะไรให้ตามใจกูนะ” คำพูดขู่เข็ญของจำเลยดังกล่าว แม้ไม่ใช่ถ้อยคำขู่เข็ญตรง ๆ ก็เข้าใจได้ว่าต่อไปถ้าจำเลยอยากได้อะไรแล้ว ผู้เสียหายต้องให้ ถ้าไม่ให้จะต้องถูกจำเลยทำร้าย คดีนี้ไม่ปรากฏว่า ผู้เสียหายกับพวกจำเลยคุ้นเคยรักชอบกันอย่างไรที่จะขอเงินกันได้โดยสุจริต การกระทำของจำเลยดังกล่าวครบองค์ความผิดฐานปล้นทรัพย์แล้ว จำเลยจึงมีความผิดฐานปล้นดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share