แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลแขวงไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูลและประทับฟ้องส่งสำนวนให้อัยการดำเนินการ คำสั่งของศาลแขวงที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาดจำเลยจะอุทธรณ์ฎีกาว่าผู้ว่าคดีโจทก์ฟ้องคดีพ้นระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ใน มาตรา 7 แห่ง พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ.2499โดยไม่มีการขอและรับอนุญาตจากอธิบดีกรมอัยการตาม มาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัตินั้นโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องดังนี้ หาได้ไม่ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2503)
ย่อยาว
คดีนี้ศาลแขวงพระนครใต้ทำการไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูลและประทับฟ้องส่งสำนวนให้อัยการดำเนินการ
จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้พ้นระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ใน มาตรา 7 แห่ง พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ. 2499 และไม่มีการขอและรับอนุญาตจากอธิบดีกรมอัยการตาม มาตรา 9 แห่ง พระราชบัญญัตินั้น ขอให้กลับคำสั่งศาลแขวงพระนครใต้ ให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลแขวงพระนครใต้สั่งอุทธรณ์นั้นว่าคดีนี้ศาลว่าคดีมีมูลแล้วย่อมเด็ดขาดตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 จึงสั่งไม่รับอุทธรณ์
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า คำสั่งของศาลให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งในข้อกฎหมายหรือในข้อเท็จจริงก็ตาม จำเลยจึงอุทธรณ์คำสั่งศาลในข้อนี้ไม่ได้ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย
จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า คดีนี้ศาลแขวงพระนครใต้ได้มีคำสั่งว่า คดีมีมูล คำสั่งดังกล่าวย่อมเด็ดขาด กล่าวคืออุทธรณ์ฎีกาต่อไปไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 ฎีกาของจำเลยที่ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้องนี้จึงฟังไม่ขึ้นพิพากษายืน