แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน จำเลยให้การว่า คำสั่งของนายอำเภอ ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังนี้ ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้ กระทำผิด
เมื่อศาลเห็นว่า พยานโจทก์ที่นำสืบมาแล้ว ไม่พอฟัง ลงโทษจำเลยได้ ศาลก็ไม่จำต้องฟังคำพยาน จำเลย ต่อไป
ย่อยาว
คดีทั้ง ๔ สำนวน โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานไม่ปฏิบัติ ตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน ตัดฟันทำลายไม้หวงห้าม ทำให้เสียหาย ทำลายทรัพย์อันใช้หรือมีไว้ เพื่อสาธารณะประโยชน์
จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อสู้ว่า ที่นา เป็นของจำเลย คำสั่งของนายอำเภอไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลแขวงสุรินทร์ไต่สวนแล้วสั่งว่าคดีมีมูล พนักงานอัยการเห็นว่า จำเลยไม่มีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้ เพื่อสาธารณะประโยชน์ จึงสั่งไม่ฟ้อง
ศาลแขวงสุรินทร์ สืบพยานโจทก์แล้วสั่งงดสืบพยานจำเลย และพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะข้อที่ศาลแขวงสั่งงดสืบพยานจำเลยและคำสั่งของนายอำเภอชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อปรากฏว่าจำเลยให้การต่อสู้ว่าคำสั่งของนายอำเภอเป็นคำสั่งมี่มิชอบด้วยกฎหมายและจำเลยได้อ้างกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นข้อต่อสู้แล้ว ก็ว่าจำเลยให้การปฏิเสธมิได้กระทำผิดนั่นเอง จึงเป็นหน้าที่ฝ่ายโจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ความชัดว่า จำเลยได้กระทำผิดดังฟ้อง แต่คดีนี้เมื่อศาลได้ฟังคำพยานโจทก์จนสิ้นกระแสร์ ความแล้วเห็นว่า หลักฐานพยานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลยได้ ก็ไม่จำต้องฟังพยานจำเลยต่อไป
พิพากษายืน