คำวินิจฉัยที่ 65/2559

แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

กรมบัญชีกลางยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐว่าทำละเมิดหน่วยงานของรัฐต่อศาลยุติธรรม ในขณะเดียวกันก็แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงและมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยทั้งสองจึงยื่นฟ้องโจทก์กับพวกขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวต่อศาลปกครองกลาง ต่อมาศาลฎีกามีคำพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ รับผิดในผลละเมิด แต่ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๒ ส่วนศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิด โดยคำพิพากษาของทั้งสองศาลต่างถึงที่สุด ดังนี้แม้ว่าโจทก์จะยื่นคำร้องให้คณะกรรมการวินิจฉัย เมื่อพ้นกำหนด ๖๐ วัน นับแต่วันที่มีคำพิพากษาของศาลคดีหลังสุด อันเป็นการล่วงเลยระยะเวลาตาม ม. ๑๔ แห่ง พรบ. ว่าด้วยการวินิจฉัย ชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ฯ ก็ตาม แต่กำหนดเวลาดังกล่าวหาใช่อายุความไม่ เมื่อคู่ความยังมิได้รับการเยียวยาความเสียหาย เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม คณะกรรมการจึงรับคำร้องไว้พิจารณา ตามข้อบังคับคณะกรรมการ ฯ ข้อ ๔ เมื่อการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ อยู่ภายใต้บังคับของ พรบ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ฯ โดยตรง ทั้งโจทก์ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐได้ดำเนินการไปตามพระราชบัญญัตินี้จนถึงขั้นออกคำสั่งทางปกครองให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชำระเงินค่าเสียหาย และมีการตรวจสอบความชอบของการดำเนินการโดยศาลปกครอง ซึ่งเป็นฝ่ายตุลาการ แล้วด้วย จึงควรให้มีการดำเนินการไปจนจบขั้นตอน โดยพิจารณาใช้มาตรการบังคับทางปกครองให้คำสั่งทางปกครองได้มีการบังคับการให้เกิดผล เพื่อให้การเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติฉบับนี้ ให้คู่ความปฏิบัติไปตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดโดยมิให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกา

ย่อยาว

(สำเนา)

คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๖๕/๒๕๕๙

วันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๙

เรื่อง คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔

ศาลฎีกา
ระหว่าง
ศาลปกครองสูงสุด

การเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการ
กรมบัญชีกลาง โดยพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด ส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดกรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒

ข้อเท็จจริงในคดี
กรมบัญชีกลาง โดยพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้ยื่นคำร้อง ลงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๙ ขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาด กรณีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลยุติธรรมและศาลปกครองขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ กรณีกรมบัญชีกลาง เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายนิกร ยี่โถ หรือวรกิจโกศลกุล ที่ ๑ นายผดุงชาติ จุนหวิทยะ ที่ ๒ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๕๘๒๕/๒๕๔๔ ให้ร่วมกันรับผิดฐานละเมิดและร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน ๑๔,๕๐๘,๑๙๒.๑๕ บาท กรณีจำเลยที่ ๑ ทุจริตเบียดบังเอาเงินค่าจำหน่ายสลากการกุศลของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลซึ่งโจทก์ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจำหน่ายให้แก่ผู้ค้าสลากแต่ละจังหวัดผ่านสำนักงานคลังจังหวัดทั่วประเทศไปใช้เพื่อประโยชน์ของตนเองหรือผู้อื่น โดยมีจำเลยที่ ๒ ช่วยเหลือในการนำสลากการกุศลที่จำเลยที่ ๑ ได้มาโดยมิชอบไปส่งให้ผู้ค้าสลาก เป็นเหตุให้โจทก์และราชการได้รับความเสียหายเป็นเงิน ๑๔,๕๐๘,๑๙๒.๑๕ บาท คดีถึงที่สุดแล้ว โดยศาลฎีกามีคำพิพากษาที่ ๗๖๖๕/๒๕๕๗ ยืนตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ ๑ เบียดบังเอาเงินค่าสลากไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว เป็นการกระทำโดยทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์ ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้รับสลากการกุศลไปส่งให้แก่ลูกค้าตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเท่านั้น ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ ได้รับผลประโยชน์หรือมีส่วนสมรู้ร่วมคิดกับจำเลยที่ ๑ กระทำละเมิดต่อโจทก์ พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินจำนวน ๑๔,๕๐๘,๑๙๒.๑๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๑๓,๗๗๒,๒๘๕.๔๐ บาท นับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๔ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และยกฟ้องจำเลยที่ ๒ โดยศาลแพ่งอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๗ ซึ่งก่อนฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดกับจำเลยทั้งสองและส่งเรื่องให้กระทรวงการคลังพิจารณา ซึ่งต่อมาในขณะที่คดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลแพ่ง คณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่ง กระทรวงการคลัง ได้พิจารณาสำนวนการสอบสวนแล้วมีความเห็นว่า จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน ๑๓,๗๗๒,๒๘๕.๔๐ บาท โจทก์จึงได้ออกคำสั่งทางปกครองโดยมีหนังสือ ลับ ที่ กค ๐๔๐๒.๓/๒๑๕๘๑ ลงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๔๖ และบันทึกข้อความ ลับ ที่ กค ๐๔๐๒.๓/๒๑๕๘๒ ลงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๔๖ เรียกให้ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ตามความเห็นของกระทรวงการคลังดังกล่าว
ต่อมา จำเลยทั้งสองได้ยื่นฟ้องโจทก์กับพวกรวม ๑๓ คน ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๗๕๑/๒๕๔๖ ที่ ๕๘๙/๒๕๔๗ และที่ ๑๕๗๗/๒๕๔๗ ขอให้เพิกถอนคำสั่งทางปกครองดังกล่าว และคำสั่งอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้รวมการพิจารณาคดีทั้งสามเข้าด้วยกัน และให้เรียกนายนิกร ยี่โถ จำเลยที่ ๑ ในคดีนี้ว่า ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ เรียกนายผดุงชาติ จุนหวิทยะ จำเลยที่ ๒ ในคดีนี้ว่า ผู้ฟ้องคดีที่ ๒ เรียกกรมบัญชีกลาง โจทก์ในคดีนี้ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ คดีของศาลปกครอง ดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว โดยศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ อ. ๒๗๖-๒๗๘/๒๕๕๘ ว่า ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ กระทำการด้วยความจงใจไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงเป็นการกระทำละเมิดตามมาตรา ๔๒๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ส่วนผู้ฟ้องคดีที่ ๒ เป็นผู้รับสลากบำรุงการกุศลนำส่งให้แก่ลูกค้าของ ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ โดยให้ลูกค้าดังกล่าวโอนเงินเข้าบัญชีของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ โดยตรง จึงเป็นการกระทำละเมิดเช่นเดียวกัน ผู้ฟ้องคดีทั้งสองจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ตามมาตรา ๘ ประกอบมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ เมื่อคำนึงถึงระดับความร้ายแรงแห่งการกระทำและความเป็นธรรมในแต่ละกรณีแล้วเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ กระทำละเมิดโดยจงใจไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ผู้บังคับบัญชามอบหมาย และเป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการกระทำละเมิดดังกล่าว สมควรรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนร้อยละ ๘๐ ของความเสียหายจำนวน ๑๓,๗๗๒,๒๘๕.๔๐ บาท โดยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นเงิน ๑๑,๐๑๗,๘๒๘.๓๒ บาท ส่วนผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงโดยมีพฤติการณ์เป็นผู้ช่วยเหลือผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ในการนำสลากบำรุงการกุศลไปจำหน่ายแก่ลูกค้าของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ แต่ไม่ปรากฏว่าผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ได้รับผลประโยชน์เป็นของตนเองจากการกระทำละเมิดดังกล่าว สมควร รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนร้อยละ ๒๐ ของความเสียหายจำนวน ๑๓,๗๗๒,๒๘๕.๔๐ บาท โดยต้อง รับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นเงิน ๒,๗๕๔,๔๕๗.๐๘ บาท จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้เพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ตามหนังสือลับ ที่ กค ๐๔๐๒.๓/๒๑๕๘๑ ลงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๔๖ ในส่วนที่เรียกให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เกินกว่าจำนวนเงิน ๑๑,๐๑๗,๘๒๘.๓๒ บาท และคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ตามหนังสือ ลับ ที่ กค ๐๔๐๒.๓/๒๑๕๘๒ ลงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๔๖ ส่วนที่เรียกให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เกินกว่าจำนวนเงิน ๒,๗๕๔,๔๕๗.๐๘ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น ศาลปกครองกลางได้อ่านคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๘
จากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นดังกล่าวข้างต้น ผู้ร้องเห็นว่า เป็นกรณีคำพิพากษาถึงที่สุดระหว่างศาลยุติธรรมและศาลปกครองขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน ซึ่งโดยผลแห่งคำพิพากษาของศาลฎีกา โจทก์มีสิทธิบังคับคดีตามคำพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินจำนวน ๑๔,๕๐๘,๑๙๒.๑๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๑๓,๗๗๒,๒๘๕.๔๐ บาท นับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๔ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยไม่มีสิทธิบังคับคดีกับจำเลยที่ ๒ ซึ่งถูกพิพากษายกฟ้องได้ แต่ด้วยผลแห่งคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด โจทก์มีอำนาจออกคำสั่งทางปกครองเรียกให้จำเลยที่ ๑ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อโจทก์เป็นเงินจำนวน ๑๑,๐๑๗,๘๒๘.๓๒ บาท และเรียกให้ จำเลยที่ ๒ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนต่อโจทก์เป็นเงินจำนวน ๒,๗๕๔,๔๕๗.๐๘ บาท กรณีจึงยังไม่เป็นที่ยุติว่าโจทก์ต้องบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลฎีกาหรือคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ทั้งจะสามารถบังคับชำระหนี้จากจำเลยที่ ๑ ได้เพียงใด ด้วยวิธีใด และสามารถบังคับชำระหนี้จากจำเลยที่ ๒ ได้หรือไม่ ซึ่งโจทก์ไม่อาจบังคับคดีให้ถูกต้องได้ นอกจากนี้ โจทก์ยังตรวจสอบพบว่าจำเลยที่ ๑ ได้ถึงแก่ความตายแล้วเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๘ ซึ่งหากโจทก์ต้องบังคับชำระหนี้จำเลยที่ ๑ ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด โจทก์ต้องดำเนินการฟ้องทายาทของจำเลยที่ ๑ ต่อศาลปกครองภายในระยะเวลา ๑ ปี ตามมาตรา ๑๗๕๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยโจทก์ตรวจสอบรายการทะเบียนราษฎร พบทายาทของจำเลยที่ ๑ ดังนี้ นายปลอง ยี่โถ บิดา นางแดง ยี่โถ มารดา นางสาวจีรนันท์ ยี่โถ หรือนางจีรนันท์ ธำรงวิศว บุตร และนางสาวพรรณนิตา ยี่โถ บุตร ซึ่งโจทก์ยังไม่อาจดำเนินการได้เนื่องจากกรณียังไม่แน่ชัดว่าโจทก์มีสิทธิบังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลใด และจำเลยที่ ๑ ต้องรับผิด ต่อโจทก์เป็นเงินจำนวนเท่าใด จึงเป็นเหตุให้โจทก์ไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายและไม่ได้รับ ความเป็นธรรม โจทก์ซึ่งเป็นคู่ความทั้งสองคดีและได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำพิพากษาที่ขัดแย้งกันดังกล่าว จึงมีความประสงค์ขอให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลได้โปรดวินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลฎีกาและศาลปกครองสูงสุดที่ขัดกันดังกล่าว ตามนัยมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
เลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล อาศัยอำนาจตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๑๗ วรรคหนึ่ง แจ้งให้ทายาทของนายนิกร คือนายปลอง ยี่โถ บิดา นางแดง ยี่โถ มารดา นางสาวจีรนันท์ ยี่โถ หรือนางจีรนันท์ ธำรงวิศว บุตร และนางสาวพรรณนิตา ยี่โถ บุตร และ นายผดุงชาติ จุนหวิทยะ ซึ่งเป็นคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งทำคำชี้แจงภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันได้รับสำเนาคำร้อง
นายปลอง ยี่โถ นางแดง ยี่โถ มารดา นางสาวจีรนันท์ ยี่โถ หรือนางจีรนันท์ ธำรงวิศว ได้รับสำเนาคำร้องแล้วไม่ชี้แจง
นางสาวพรรณนิตา ยี่โถ ไม่รับสำเนาคำร้อง
นายผดุงชาติ จุนหวิทยะ ชี้แจงว่า ให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลฎีกา

คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คู่ความที่เกี่ยวข้องจะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจ หน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ถ้ามีคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกันในคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกัน จนเป็นเหตุให้คู่ความไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหายหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือมีความขัดแย้งในเรื่องฐานะหรือความสามารถของบุคคล คู่ความ หรือบุคคลซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงตามคำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าวอาจยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการเพื่อขอให้วินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลดังกล่าวได้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งที่ออกภายหลังถึงที่สุด…”
กรณีโจทก์และผู้ฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ นำคดีขึ้นสู่ศาลสองศาลคือศาลแพ่ง ซึ่งเป็น ศาลยุติธรรม และศาลปกครองกลาง ซึ่งเป็นศาลปกครอง และมีการต่อสู้คดีถึงศาลสูงสุดของแต่ละศาลโดยในคดีทั้งสองศาลนั้น มีมูลความแห่งคดีจากเรื่องการกระทำละเมิดของจำเลยในการที่จำเลยที่ ๑ ทุจริตเบียดบังเอาเงินค่าจำหน่ายสลากการกุศลของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลซึ่งโจทก์ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจำหน่ายให้แก่ผู้ค้าสลากแต่ละจังหวัดผ่านสำนักงานคลังจังหวัดทั่วประเทศไปใช้เพื่อประโยชน์ของตนเองหรือผู้อื่น โดยมีจำเลยที่ ๒ ช่วยเหลือในการนำสลากการกุศลที่จำเลยที่ ๑ ได้มาโดยมิชอบไปส่งให้ผู้ค้าสลาก เป็นเหตุให้โจทก์และราชการได้รับความเสียหาย จึงเป็นคดีที่มีข้อเท็จจริงเป็นเรื่องเดียวกันตามมาตรา ๑๔ เมื่อศาลทั้งสองศาลตัดสินในจำนวนค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยทั้งสองต้องรับผิดแตกต่างกัน และคำพิพากษาของศาลทั้งสองศาลนั้นถึงที่สุดแล้วย่อมเป็นเหตุให้คู่ความไม่อาจบังคับหรือปฏิบัติการชำระหนี้ได้ถูกต้อง ถือได้ว่าเป็นกรณีมีคำพิพากษาที่ถึงที่สุดระหว่างศาลขัดแย้งกัน ชอบที่คู่ความจะยื่นคำร้องขอให้มีการวินิจฉัยตามมาตรานี้ได้ แม้ว่าโจทก์จะยื่นคำร้องเมื่อพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่คำพิพากษาของศาลปกครองซึ่งพิพากษาภายหลังถึงที่สุด แต่กำหนดเวลาดังกล่าวหาใช่อายุความที่จะต้องฟ้องคดีภายในกำหนด เมื่อปรากฏว่าคู่ความยังคงไม่ได้รับการเยียวยาความเสียหาย เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลสมควรรับคำร้องของโจทก์ไว้พิจารณา ตามข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ว่าด้วยวิธีการเสนอเรื่อง การพิจารณาและวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๔
คำพิพากษาในคดีของทั้งสองศาลวินิจฉัยข้อเท็จจริงตรงกันว่า นายนิกร ยี่โถ หรือ วรกิจโกศลกุล จำเลยที่ ๑ ของศาลแพ่ง เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐได้เบียดบังเอาเงินค่าสลากไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว เป็นการกระทำโดยทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายทำให้กรมบัญชีกลางได้รับความเสียหาย เป็นการทำละเมิดต่อหน่วยงานของรัฐ จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ และต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ แต่ทั้งสองศาลคงวินิจฉัยคดีแตกต่างกัน ในส่วนที่เกี่ยวกับความรับผิดของนายผดุงชาติ จุนหวิทยะ จำเลยที่ ๒ ของศาลแพ่ง ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และในส่วนของจำนวนค่าเสียหาย จึงต้องพิจารณาต่อไปว่า โจทก์ควรบังคับค่าสินไหมทดแทนเอาแก่จำเลยที่ ๑ ในจำนวนความเสียหายตามคำพิพากษาศาลฎีกา หรือใช้มาตรการบังคับทางปกครอง เอาแก่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ในจำนวนความเสียหายตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
การกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่ต่อหน่วยงานของรัฐกรณีที่เป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งบัญญัติเพื่อใช้บังคับแก่การกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่เป็นการเฉพาะ โดยกำหนดหลักเกณฑ์แตกต่างจากหลักเกณฑ์เรื่องความรับผิดทางละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรับผิดที่เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดทางละเมิดในการปฏิบัติหน้าที่เฉพาะกรณีกระทำโดยจงใจให้เกิดความเสียหายหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเท่านั้น หรือเรื่องการแบ่งแยกความรับผิดของเจ้าหน้าที่แต่ละคนโดยมิให้นำหลักลูกหนี้ร่วมมาใช้บังคับ ด้วยความมุ่งหมายที่จะให้เกิดความเป็นธรรมแก่เจ้าหน้าที่ซึ่งมีการบังคับบัญชากำกับและมีความรับผิดทางวินัยอยู่อีกส่วนหนึ่งด้วย เพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพ ในการปฏิบัติงานของรัฐ ดังนั้น เมื่อการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ อยู่ภายใต้บังคับของพระราชบัญญัติฉบับนี้โดยตรง ทั้งโจทก์ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐได้ดำเนินการไปตามพระราชบัญญัตินี้จนถึงขั้นออกคำสั่งทางปกครองให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ชำระเงินค่าเสียหาย และมีการตรวจสอบความชอบของการดำเนินการโดยศาลปกครอง ซึ่งเป็นฝ่ายตุลาการแล้วด้วย จึงควรให้มีการดำเนินการ ไปจนจบขั้นตอน โดยพิจารณาใช้มาตรการบังคับทางปกครองให้คำสั่งทางปกครองได้มีการบังคับการให้เกิดผล เพื่อให้การเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติฉบับนี้
ฉะนั้น กรณีนี้จึงสมควรให้กรมบัญชีกลางใช้มาตรการบังคับทางปกครองบังคับ ค่าสินไหมทดแทนเอาแก่นายนิกร ยี่โถ หรือวรกิจโกศลกุล และนายผดุงชาติ จุนหวิทยะ ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. ๒๗๖-๒๗๘/๒๕๕๘ โดยมิให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกา

จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีคำพิพากษาที่ถึงที่สุดขัดแย้งกันระหว่างศาลปกครองสูงสุดและศาลฎีกาให้คู่ความปฏิบัติไปตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. ๒๗๖-๒๗๘/๒๕๕๘ โดยมิให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกา

(ลงชื่อ) วีระพล ตั้งสุวรรณ (ลงชื่อ) จิรนิติ หะวานนท์
(นายวีระพล ตั้งสุวรรณ) (นายจิรนิติ หะวานนท์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) ปิยะ ปะตังทา (ลงชื่อ) ชาญชัย แสวงศักดิ์
(นายปิยะ ปะตังทา) (นายชาญชัย แสวงศักดิ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง

(ลงชื่อ) พลเรือโท ปรีชาญ จามเจริญ (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(ปรีชาญ จามเจริญ) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร

(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

Share