แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ย.1062/2550 ของศาลแพ่ง จำเลยจดทะเบียนขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 121938 ตำบลดอนช้าง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ของจำเลยให้แก่ ร. ต่อมาจำเลยตกลงกับ ร. ว่าให้จำเลยขายที่ดินแล้วนำเงินที่ได้มามอบให้แก่ ร. เป็นสินไถ่ จึงมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินกลับมาเป็นของจำเลยก่อนโอนขายให้แก่ ว. ในวันเดียวกัน แล้วนำเงินที่ได้มอบให้แก่ ร. ดังนี้ การกระทำของจำเลยสำเร็จเป็นความผิดนับแต่ขายฝากที่ดินให้แก่ ร. เพื่อให้พ้นจากการบังคับชำระหนี้ แม้ต่อมาจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินกลับมาเป็นของจำเลยก่อนโอนขายให้แก่ ว. แล้วมอบเงินที่ได้เป็นสินไถ่ให้แก่ ร. ไม่ว่าจำเลยได้รับส่วนต่างจากเงินค่าขายที่ดินหรือไม่ ก็เป็นการกระทำเพื่อให้การขายที่ดินสำเร็จตามข้อตกลงเท่านั้น ไม่ทำให้การกระทำของจำเลยกลับเป็นความผิดขึ้นใหม่อีกกรรมหนึ่งแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 จำคุก 1 ปี ปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยจดทะเบียนขายฝากที่ดินและต่อมาได้โอนขายที่ดินให้แก่นางสาววัชราภรณ์เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ เมื่อการกระทำของจำเลยสำเร็จเป็นความผิดนับแต่ขายฝากที่ดินให้แก่นายรุ่งเพื่อให้พ้นจากการบังคับชำระหนี้ แม้ต่อมาภายในกำหนดเวลาไถ่มีข้อตกลงขายที่ดินให้แก่นางสาววัชราภรณ์จนต้องโอนที่ดินกลับคืนเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยก่อนโอนขายให้แก่นางสาววัชราภรณ์ไปในวันเดียวกัน ก็ได้ความว่าเงินที่ใช้เป็นสินไถ่เป็นจำนวนเดียวกับที่นางสาววัชราภรณ์มอบให้แก่นายรุ่งเป็นค่าที่ดิน ไม่ว่าจำเลยได้รับส่วนต่างจากเงินค่าขายที่ดินดังกล่าวดังที่โจทก์ฎีกาจริงหรือไม่ ก็เป็นการกระทำเพื่อให้การขายที่ดินสำเร็จตามข้อตกลงเท่านั้น ไม่ทำให้การกระทำของจำเลยกลับเป็นความผิดขึ้นใหม่อีกกรรมหนึ่งแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียว ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาต่อไปว่า มีเหตุรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า จำเลยเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งต้องรับผิดชำระเงินให้โจทก์ 3,650,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย แม้โจทก์สามารถบังคับคดีโดยยึดที่ดินอีกแปลงหนึ่งซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีตีราคาทรัพย์ 720,000 บาท ก็ยังขาดจำนวนอยู่อีกมาก และการที่จำเลยโอนขายที่ดินให้แก่นางสาววัชราภรณ์ในราคา 400,000 บาท ซึ่งนับได้ว่าโจทก์เสียโอกาสที่สามารถบังคับชำระหนี้เท่าจำนวนดังกล่าว ประกอบกับพฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลยที่ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย มุ่งเพียงรักษาประโยชน์ส่วนตนโดยมิชอบ ไม่คำนึงถึงความเสียหายของผู้เป็นเจ้าหนี้ ขัดขวางการบังคับคดีไม่ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอันมีผลต่อระเบียบกฎเกณฑ์ทางสังคม จึงไม่สมควรรอการลงโทษ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 รอการลงโทษให้จำเลยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น และที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 กำหนดโทษจำคุกและปรับ เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรไม่รอการลงโทษจึงกำหนดโทษจำคุกเสียใหม่ให้เหมาะสมแก่กรณี
พิพากษาแก้เป็นว่า จำคุก 6 เดือน ไม่ลงโทษปรับและไม่รอการลงโทษ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4