คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 547/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การขับรถยนต์นั้นอาจจะเกิดการละเมิดเป็นอันตรายต่อบุคคลหรือทรัพย์สินของบุคคลอื่นได้ เมื่อได้ความว่าจำเลยที่ 1 อายุ 19 ปี และไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบิดาได้ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์มานานแล้วและไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่แต่อย่างใด การที่จำเลยที่ 2 ต้องไปทำงานและไปราชการต่างจังหวัดเป็นประจำ หาทำให้จำเลยที่ 2 พ้นจากหน้าที่ดูแลจำเลยที่ 1 ไม่ ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันเกิดเหตุไปชนรถยนต์โจทก์โดยประมาท อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการละเมิดนั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ผู้เยาว์บุตรของจำเลยที่ ๒ ได้ขับรถเก๋งยี่ห้อโฟล์กแล่นเลี้ยวออกมาจากซอยด้านในทางด้านโรงพยาบาลรามาธิบดีอ้อมเกาะกลางถนน จะไปทางวงเวียนศรีอยุธยา ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง โดยไม่หยุดหรือชะลอดูรถซึ่งแล่นมาจากทางตรงเสียก่อน เป็นเหตุให้รถที่จำเลยที่ ๑ ขับขี่นั้นชนรถเก๋งส่วนบุคคล ยี่ห้อโตโยต้าคราวน์ ซึ่งนางสาวประภาศรี ฤกษ์บุตร บุตรของโจทก์ขับขี่มาตามถนนพระราม ๖ โดยขับขี่ในช่องกลาง เป็นเหตุให้รถชนกันอย่างแรง ทำให้รถยนต์ของโจทก์เสียหายใช้การไม่ได้ จำเลยที่ ๑ ยอมรับสารภาพผิด จำเลยที่ ๒ เป็นบิดาของจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง แต่ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ ปล่อยให้จำเลยที่ ๑ บุตรผู้เยาว์ที่ไม่มีใบขับขี่รถยนต์ขับรถยนต์ด้วยความประมาท จึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๑ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ โจทก์ได้ทวงถามแล้ว แต่จำเลยไม่ชำระ จึงขอให้บังคับจำเลยร่วมกันใช้เงิน ๖๗,๒๑๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การใจความว่า ในวันเกิดเหตุ นางสาวประภาศรีบุตรโจทก์ ขับรถยนต์ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังด้วยความเร็วสูงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ซึ่งถ้าหากใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอก็จะไม่เกิดชนกัน จึงเป็นความประมาทของบุตรโจทก์ จำเลยไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยที่ ๒ มิได้รู้เห็นในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จำเลยที่ ๒ ได้ใช้ความระมัดระวังสมควรแก่หน้าที่ในการดูแลบุตรผู้เยาว์แล้ว มิได้รู้เห็นหรือปล่อยปละละเลยให้จำเลยที่ ๑ ขับรถ จำเลยที่ ๑ เอารถไปใช้เองโดยพลการ ค่าเสียหายที่เรียกร้องเกินความเป็นจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๒๑,๒๖๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ ๒ ร่วมรับผิดด้วย
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่ ๒ ต้องร่วมรับผิด พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๒ ร่วมรับผิดด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
คดีได้ความว่า จำเลยที่ ๑ อายุ ๑๙ ปี เป็นบุตรจำเลยที่ ๒ และเหตุเกิดขึ้นด้วยความประมาทของจำเลยที่ ๑
วินิจฉัยว่า เห็นว่านายธีระวัฒน์ พี่ชายจำเลยที่ ๑ เบิกความว่ารถยนต์คันที่จำเลยที่ ๑ ขับไปชนรถของโจทก์นั้นเป็นของจำเลยที่ ๒ ผู้เป็นบิดา ได้ซื้อมาเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๓ นายธีระวัฒน์ใช้รถคันนี้ไปเรียนที่จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย นายธีระวัฒน์ขับรถยนต์เป็นตั้งแต่อายุ ๑๘ ปี ขณะนี้อายุ ๒๑ ปี และยังเป็นนักศึกษาอยู่ วันเกิดเหตุนายธีระวัฒน์ไปต่างจังหวัด จำเลยที่ ๒ เบิกความว่ารถคันเกิดเหตุนี้ได้นำไปฝากเก็บไว้ที่อู่รับฝากรถยนต์ซึ่งอยู่ห่างบ้านจำเลยที่ ๒ ประมาณ ๑๐ เส้น จำเลยที่ ๒ เป็นคนนำรถคันนี้ไปฝากไว้เป็นประจำและฝากตั้งแต่แรกซื้อมา นายเอกมลเพื่อนของจำเลยที่ ๑ ซึ่งนั่งรถคันนี้ไปในวันเกิดเหตุด้วย เบิกความว่าเคยไปหัดขับรถยนต์กับจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ ขับรถเป็นมาหลายปีแล้ว จำเลยที่ ๑ เอกก็เบิกความว่ารถรถยนต์เป็นมา ๖ เดือนแล้ว นายธีระวัฒน์ และจำเลยที่ ๑ อยู่ร่วมเรือนเดียวกันกับจำเลยที่ ๒ การที่จำเลยที่ ๒ ซื้อรถคันเกิดเหตุและให้นายธีระวัฒน์ขับขี่ตั้งแต่นายธีระวัฒน์อายุเพียง ๑๘ ปี ส่วนจำเลยที่ ๑ อายุ ๑๙ ปี ก็ขับรถเป็นมาอย่างน้อย ๖ เดือนแล้ว เมื่อนายธีระวัฒน์ไปต่างจังหวัด จำเลยที่ ๒ ก็ไม่ได้เก็บรักษากุญแจรถไว้ให้ดี ทั้ง ๆ ที่อยู่บ้านเดียวกัน รถคันเกิดเหตุจำเลยที่ ๒ เอาไปฝากไว้ที่อู่รับฝากรถ แต่เจ้าของอู่ก็ยอมให้จำเลยที่ ๑ เอารถออกจากอู่ไปใช้ และจำเลยที่ ๑ ขับรถดังกล่าวไปสถานศึกษาเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยที่ ๒ ยินยอมให้จำเลยที่ ๑ ่ขับรถยนต์มาเป็นเวลานานแล้ว มิใช่จำเลยที่ ๑ เอารถไปขับเองโดยพลการดังที่จำเลยที่ ๒ ต่อสู้ การขับรถยนต์นั้นอาจจะเกิดการละเมิดเป็นอันตรายต่อบุคคลหรือทรัพย์สินของบุคคลอื่นได้ แม้ผู้ขับขี่จะมีความสามารถในการขับรถดี โดยเฉพาะจำเลยที่ ๑ ยังเป็นผู้เยาว์อายุ ๑๙ ปี ทั้งปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ด้วย แต่จำเลยที่ ๒ ก็ยังยินยอมให้จำเลยที่ ๑ ขับขี่ และตามข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ ๒ นำสืบมาก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่แต่อย่างใด การที่จำเลยที่ ๒ ต้องไปทำงานและไปราชการต่างจังหวัดเป็นประจำนั้น หาทำให้จำเลยที่ ๒ พ้นจากหน้าที่ดูแลจำเลยที่ ๑ ไม่ เมื่อจำเลยที่ ๑ ขับรถไปชนรถโจทก์โดยประมาทอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ ๒ จึงต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการละเมิดนั้น ดังข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยที่ ๒ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share