คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 888/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ห้างโจทก์เป็นนิติบุคคลมีหน้าที่ต้องยื่นรายการที่จำเป็นต้องใช้ในการคำนวณภาษีพร้อมด้วยบัญชีต่าง ๆ ตามที่กฎหมายระบุไว้ต่อเจ้าพนักงานประเมินภายใน 150 วัน นับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี และถ้ามีกำไรสุทธิก็ต้องชำระเงินภาษีที่ต้องเสียต่ออำเภอพร้อมกับรายการที่ยื่นนั้นด้วย ดังบัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 65,68,69 ดังนั้น หนี้ภาษีอากรของโจทก์ได้ถึงกำหนดชำระแล้วตั้งแต่วันที่โจทก์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากร เมื่อนับจากวันที่โจทก์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวจนถึงวันที่เจ้าพนักงานประเมินสั่งให้โจทก์ชำระภาษีที่ขาดเพิ่มเติมให้ครบถ้วนยังไม่ครบ 10 ปี สิทธิเรียกร้องเก็บภาษีของกรมสรรพากรจำเลยจึงยังไม่ขาดอายุความส่วนที่ห้าง โจทก์อุทธรณ์คำสั่งการประเมินต่อเจ้าพนักงานอุทธรณ์ และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ห้างโจทก์ทราบเมื่อพ้น 10 ปีแล้วนั้นคำวินิจฉัยอุทธรณ์เป็นเพียงข้อวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินว่าถูกต้องหรือไม่ ควรลดหย่อนภาษีให้ห้างโจทก์หรือไม่เท่านั้น ไม่ใช่คำสั่งเรียกเก็บภาษี ไม่ทำให้สิทธิเรียกร้องค่าภาษีขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่า เมื่อเดือนธันวาคม 2508 จำเลยที่ 1ได้ประเมินให้โจทก์เสียภาษีจำนวนปี 2504 ถึง 2506 รวม 3 ปี เป็นเงินค่าภาษีการค้าอากรแสตมป์ ภาษีเงินได้นิติบุคคล เงินเพิ่มและเงินบำรุงภาษีเทศบาลรวมเป็นเงิน 137,695 บาท 91 สตางค์ โจทก์เห็นว่าจำเลยที่ 1 ประเมินภาษีไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โจทก์จึงอุทธรณ์การประเมินของจำเลยที่ 1 ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คือจำเลยที่ 2, 3 และ 4 ตามประมวลรัษฎากรคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้แจ้งผลการวินิจฉัยอุทธรณ์ให้โจทก์ทราบเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2516 สั่งให้โจทก์ชำระเงินค่าภาษีเงินเพิ่ม ค่าอากรแสตมป์ภาษีบำรุงเทศบาล ให้จำเลยที่ 1 รวม 113,281 บาท 53 สตางค์ โจทก์เห็นว่าคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ถูกต้องตามกฎหมายและการประเมินเรียกเก็บภาษีของจำเลยดังกล่าวกระทำเมื่อพ้น 10 ปีแล้วขาดอายุความ โจทก์ไม่ต้องเสียภาษีอากรตามคำสั่งของจำเลย ขอให้ศาลพิพากษาว่าคำสั่งเก็บภาษีของจำเลยที่ 1 คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้เพิกถอนคำสั่งและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวและให้จำเลยที่ 1 งดเก็บภาษีจำนวน 113,281 บาท 53 สตางค์จากโจทก์

จำเลยทั้ง 4 ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เหตุที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้น เพราะโจทก์ยื่นบัญชีแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลไม่ถูกต้อง เจ้าหน้าที่ของจำเลยตรวจบัญชีและเอกสารของโจทก์พบว่าสินค้าของโจทก์ขาดบัญชีเป็นจำนวนมาก ถือว่าโจทก์ขายสินค้าแล้วไม่ลงบัญชีเป็นรายได้ จึงคำนวณราคาสินค้าที่ขาดหายตามราคาตลาด แล้วบวกเป็นรายได้เป็นเหตุให้กำไรสุทธิของโจทก์เพิ่มขึ้น ซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้นเสียภาษีการค้าสำหรับรายได้เพิ่มขึ้น และเสียค่าอากรแสตมป์เพิ่มขึ้น จึงได้ประเมินภาษีตามฟ้องจากโจทก์ให้ถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อโจทก์ไม่ชำระภายในกำหนดเวลา โจทก์ต้องเสียภาษีเงินเพิ่มตามกฎหมายด้วย คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยเรียกเก็บภาษีจากโจทก์ภายในอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ห้างโจทก์ ซึ่งเป็นนิติบุคคลได้ยื่น ภ.ง.ด.5 เสียภาษีสำหรับรอบระยะเวลาบัญชี พ.ศ. 2504 ถึงพ.ศ. 2506 แล้ว แต่ไม่ถูกต้อง เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 มีคำสั่งตามเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.5 ให้โจทก์ชำระภาษีเพิ่มเติมให้ครบถ้วนภายใน 30 วันนับแต่ได้รับคำสั่ง คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้วินิจฉัยลดภาษีให้โจทก์บางประการ นอกจากนั้นให้เรียกเก็บภาษีตามที่เจ้าพนักงานประเมินสั่ง เห็นว่าในกรณีนี้นับแต่วันที่โจทก์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวจนถึงวันที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 สั่งตามเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.5 ให้โจทก์ชำระภาษียังไม่ครบ 10 ปี สิทธิเรียกร้องเก็บภาษีของจำเลยที่ 1 ยังไม่ขาดอายุความ ส่วนที่ห้างโจทก์อุทธรณ์คำสั่งการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้ห้างโจทก์ทราบเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2516 นั้น คำวินิจฉัยอุทธรณ์ไม่ใช่คำสั่งเรียกเก็บภาษี เป็นเพียงข้อวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่ง ของเจ้าพนักงานประเมินว่าถูกต้องหรือไม่ ควรลดหย่อนภาษีให้ห้างโจทก์หรือไม่เท่านั้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share