คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5462/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยบุกรุกเข้ามาแย่งการครอบครอง จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยครอบครองที่ดินพิพาทจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาที่ดินพิพาทมิใช่ของโจทก์เป็นของจำเลย ปัญหาที่โจทก์จำเลยโต้เถียงกันก็คือ โจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองเหนือที่ดินพิพาท ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดประเด็นวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองหรือไม่ จึงชอบแล้ว มิได้วินิจฉัยผิดประเด็นและมิใช่เป็นข้อที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ดังที่โจทก์ฎีกา ฎีกาของโจทก์ที่เกี่ยวกับการเริ่มนับระยะเวลาการฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1374,1375 นั้นเป็นเรื่องที่ฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2ไม่ได้พิพากษาคดีโดยอาศัยข้อกฎหมายตามที่โจทก์ฎีกา ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวจึงมิใช่การคัดค้านโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ หรือ น.ส.3 เลขที่ 394 ตลอดมาเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2532 จำเลยกับบริวารบุกรุกเข้าปลูกกระต๊อบในที่ดินดังกล่าว โดยมีเจตนาจะแย่งการครอบครองไปจากโจทก์โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อกระต๊อบออกไปแล้ว จำเลยเพิกเฉยขอให้ขับไล่จำเลยกับบริวาร กับให้รื้อกระต๊อบออกไปจากที่ดินดังกล่าวห้ามจำเลยยุ่งเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวอีก
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินซึ่งทางราชการได้จัดให้แก่ราษฎรเข้าอยู่อาศัยและประกอบอาชีพทางราชการได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลยจำเลยครอบครองทำประโยชน์และล้อมรั้วรวมทั้งเสียภาษีบำรุงท้องที่ตั้งแต่ปี 2515 เป็นต้นมา โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท หนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับดังกล่าวตามที่โจทก์อ้างเป็นเอกสารปลอม ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เนื่องจากโจทก์ไม่ทราบว่าที่ดินพิพาทตั้งอยู่บริเวณใด แนวเขตติดต่อกับที่ดินของบุคคลใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีคงมีปัญหาวินิจฉัยในข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ข้อ 2.1 ว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยคดีผิดประเด็นหรือไม่ข้อนี้เห็นว่า โจทก์ฟ้องอ้างว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทจำเลยบุกรุกเข้ามาแย่งการครอบครอง จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยครอบครองที่ดินพิพาทจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาที่ดินพิพาทมิใช่ของโจทก์เป็นของจำเลย ปัญหาที่โจทก์จำเลยโต้เถียงกันก็คือ โจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองเหนือที่ดินพิพาทดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดประเด็นวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองหรือไม่จึงชอบแล้ว การกำหนดประเด็นเช่นนั้นมิใช่เป็นข้อที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ดังที่โจทก์ฎีกา
ส่วนฎีกาข้อกฎหมายของโจทก์ตามฎีกาข้อ 4 เกี่ยวกับการเริ่มนับระยะเวลาการฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 3174, 1375 นั้นเป็นเรื่องที่โจทก์ฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่ได้พิพากษาคดีโดยอาศัยข้อกฎหมายตามที่โจทก์ฎีกา ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวจึงมิใช่การคัดค้านโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share