แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 ยอมผูกพันตนเองเพื่อประกันการชำระหนี้ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์ โดยมอบโฉนดที่ดินและใบมอบฉันทะซึ่งลงชื่อแล้วให้โจทก์ไว้เพื่อจดทะเบียนจำนองเมื่อมิได้มีการจดทะเบียนจำนองให้ถูกต้องตามกฎหมาย สัญญาจำนองย่อมตกเป็นโมฆะ
การรับสภาพหนี้นั้น มีผลเพียงทำให้อายุความสะดุดหยุดลง หาเป็นการก่อตั้งสิทธิฟ้องร้องขึ้นใหม่แต่อย่างใดไม่ หากหนี้ซึ่งจะต้องรับผิดมิได้เกิดมีขึ้นอยู่แต่เดิม
เมื่อโจทก์อุทธรณ์ฎีกาเฉพาะในประเด็นที่ว่า หนังสือซึ่งจำเลยที่ 2 มีถึงโจทก์เป็นหนังสือรับสภาพหนี้ โดยมิได้กล่าวอ้างเลยว่าหนังสือนั้นอาจถือเป็นหลักฐานแห่งการค้ำประกันได้ ย่อมไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาจะหยิบยกปัญหาข้อนี้ขึ้นวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ธนาคารโจทก์ควบกิจการธนาคารมณฑลและธนาคารเกษตรเข้าด้วยกัน จำเลยที่ ๑ ตกลงกับธนาคารมณฑล สาขาหาดใหญ่ ขอเบิกเงินเกินบัญชี และยอมเสียดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีโดยวิธีทบต้นเป็นรายเดือน จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันและรับรองความเสียหาย โดยได้มอบโฉนดที่ดินกับลงนามในหนังสือมอบฉันทะให้จำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไว้กับธนาคารเพื่อเป็นประกันหนี้จำเลยที่ ๑ แต่ยังมิได้จดทะเบียนจำนองก่อนฟ้อง ๑ วัน จำเลยที่ ๑ เป็นลูกหนี้ธนาคารโจทก์ ๑๐๒,๔๔๓ บาท ๖๑ สตางค์ ธนาคารโจทก์ได้ทวงถามหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายทนายมีหนังสือทวงถามไป จำเลยที่ ๒ มีหนังสือถึงธนาคารโจทก์รับว่า ได้มอบโฉนดให้ไว้เป็นประกันหนี้รายนี้จริง และขอชำระเพียงดอกเบี้ยของตนเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท ที่ยังค้างอยู่ ธนาคารโจทก์ไม่ตกลงด้วย ขอให้บังคับจำเลยร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ต่อสู้ว่า การค้ำประกันรายนี้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้อง จำเลยที่ ๒ ไม่เคยค้ำประกันจำเลยที่ ๑ เคยแต่มอบโฉนดและมอบฉันทะให้นายทวีสิทธิ ฉัยยากุล ผู้จัดการธนาคารมณฑล สาขาหาดใหญ่ ไว้จดทะเบียนจำนองค้ำประกัน นายอภิชัย กรรณสูตร ซึ่งกู้เงินธนาคาร ๓๓,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ ได้ชำระหนี้แทนแล้ว ๓๐,๐๐๐ บาท คงค้างต้นเงิน ๓,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ย โจทก์นำโฉนดของจำเลยที่ ๒ ไปค้ำประกันเงินกู้ของจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ไม่ยินยอม จึงไม่ต้องรับผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินแก่โจทก์ ๑๐๑,๔๔๖ บาท ๙๘ สตางค์ กับดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๐๙ จนกว่าจะชำระเสร็จ คิดดอกเบี้ยทบต้นระหว่างผิดนัดไม่ได้ ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๒
โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมรับผิดตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยที่ ๒ รับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ คดีเฉพาะตัวจำเลยที่ ๑ เป็นอันยุติ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า จำเลยที่ ๒ ยอมผูกพันตนเองเพื่อประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ ๑ ด้วยก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๒ มีเจตนาที่จะเอาทรัพย์จำนองเป็นประกัน จึงได้มอบโฉนดและใบมอบฉันทะที่ได้ลงนามแล้วให้แก่นายทวีสิทธิผู้จัดการสาขาของโจทก์ไว้ แต่ก็ปรากฏว่าไม่ได้มีการจดทะเบียนการจำนองให้ถูกต้องตามกฎหมาย สัญญาจำนองจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๕,๗๑๔ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาจำนอง
ที่โจทก์ฎีกาว่า เอกสาร จ.๑๒ ซึ่งเป็นหนังสือของจำเลยที่ ๒ มีถึงโจทก์เป็นหนังสือรับสภาพหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๒ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การรับสภาพหนี้คงมีผลเพียงทำให้อายุความสะดุดหยุดลงเท่านั้น หาเป็นการก่อตั้งสิทธิฟ้องร้องขึ้นใหม่แต่อย่างใดไม่ ในเมื่อหนี้จำนองซึ่งจำเลยที่ ๒ จะต้องรับผิดมิได้เกิดมีขึ้น อุทธรณ์ฎีกาของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ โจทก์เน้นหนักไปในทางที่จะให้ศาลรับฟังว่า เอกสาร จ.๑๒ เป็นหนังสือรับสภาพหนี้ โจทก์มิได้กล่าวอ้างไว้ในที่ใดเลยว่า เอกสาร จ.๑๒ นี้อาจถือเป็นหลักฐานแห่งการค้ำประกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๘๐ วรรคสองได้ จึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาจะหยิบยกปัญหาข้อนี้ขึ้นวินิจฉัย
พิพากษายืน.