แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อครบอายุสัญญาเช่าแล้ว ผู้เช่าคงอยู่ในที่เช่าต่อไป ผู้ให้เช่ารู้แล้วไม่ท้วงถือว่ามีการทำสัญญาใหม่ซึ่งไม่มีกำหนดเวลาส่วนข้อสัญญาอื่นของสัญญาใหม่นี้คงเป็นอย่างเดียวกับในสัญญาเช่าเดิมอ้างฎีกาที่ 1448/2503
เมื่อผู้ให้เช่ามีสิทธิเลิกสัญญาตามข้อความในสัญญาผู้ให้เช่าใช้สิทธินั้นได้โดยไม่ต้องบอกเลิกตามวิธีในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 566
หมายเหตุคำพิพากษาฎีกาที่ 136/2503 ระหว่างนายประวิทย์ศรีธัญรัตน์ โจทก์ นายกิมจั๊วแซ่ซือ จำเลยก็วินิจฉัยไว้อย่างเดียวกับคดีนี้ด้วย
ย่อยาว
ข้อเท็จจริงมีว่า โจทก์ให้จำเลยเช่าห้องสองห้อง จำเลยใช้ประกอบการค้า สัญญาเช่ามีหลักฐานเป็นหนังสือ สัญญาข้อ 9 มีใจความว่าถ้าจำเลยจะประกันอัคคีภัยสำหรับทรัพย์สินซึ่งอยู่ในที่เช่า จะต้องได้รับอนุญาตจากโจทก์เป็นลายลักษณ์อักษรก่อน และต้องประกันตัวอาคาร โดยเสียเบี้ยประกันแทนโจทก์ด้วย สัญญาข้อ 12 มีความว่า ถ้าจำเลยผิดสัญญาข้อใด ยอมให้โจทก์เลิกสัญญานี้และให้ถือว่าสัญญาระงับทันที เมื่อครบอายุสัญญาแล้ว ทั้งสองฝ่ายคงปฏิบัติต่อกันตามเดิม ต่อมาจำเลยเอาทรัพย์สินในที่เช่าไปประกันอัคคีภัยโดยไม่ได้เอาห้องเช่าประกันด้วย โจทก์บอกเลิกการเช่าเป็นหนังสือต่อจำเลย แล้วจึงฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ชนะเต็มตามฟ้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กรณีเป็นการทำสัญญาใหม่ต่อไปไม่มีกำหนดเวลาตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 570 ข้อสัญญาอื่น ๆ ต้องเป็นไปตามสัญญาเช่าเดิม ฉะนั้น สัญญาข้อ 9 และ 12 ดังกล่าวจึงยังใช้บังคับจำเลยได้ อ้างฎีกาที่ 1448/2503
ส่วนการเลิกสัญญาแม้จะถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566 แล้วก็ตาม แต่ต้องถือว่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาข้อ 12 แล้ว ซึ่งโจทก์มีสิทธิทำได้ตามข้อสัญญานั้น ฉะนั้น โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
เมื่อสัญญาเช่าระงับไปเพราะการบอกเลิกแล้ว จำเลยขืนอยู่จึงเป็นละเมิดซึ่งโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายได้
พิพากษายืน