คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5451/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองและการโอนที่ดินระหว่างจำเลยที่2กับผู้คัดค้านเป็นอำนาจและหน้าที่ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะต้องกระทำในคดีล้มละลายเพื่อรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้นำมาชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ทั้งหลายการกระทำของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมิใช่กระทำแทนจำเลยที่2ซึ่งเป็นลูกหนี้แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายซึ่งมีผลทำให้จำเลยที่2หลุดพ้นจากการเป็นบุคคลล้มละลายและการยกเลิกการล้มละลายทำให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หมดอำนาจที่จะรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยที่2ซึ่งมีผลทำให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่สามารถบังคับคดีต่อไปได้แต่จำเลยที่2ก็ไม่มีสิทธิขอให้บังคับในคดีที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ร้องขอให้เพิกถอนการโอนและการจำนองให้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้รับโอนที่ดินพิพาทปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาได้เพราะคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวมีผลผูกพันเฉพาะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กับผู้คัดค้านเท่านั้น

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2530 โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้ล้มละลาย ต่อมาเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2530ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2 เด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ล้มละลายเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2531 ชั้นรวบรวมและจำหน่ายทรัพย์สิน ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการจำนองและการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35195 ถึง 35200 35206 และ 66562ระหว่างจำเลยที่ 2 กับผู้คัดค้าน คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้เพิกถอนเฉพาะการโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 35195 ถึง 35200 35206และ 66562 ตำบลบางบอน อำเภอบางขุนเทียน กรุงเทพมหานครระหว่างจำเลยที่ 2 กับผู้คัดค้าน และให้กลับไปจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้ผู้คัดค้านตามเดิมหรือผู้ร้องจะเลือกชำระเงินกู้500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี แก่ผู้คัดค้านในฐานะผู้คัดค้านเป็นเจ้าหนี้มีประกันแทนการจดทะเบียนจำนองก็ได้หากไม่สามารถโอนที่ดินกลับมาเป็นของจำเลยที่ 2 ให้ผู้คัดค้านใช้ราคาที่ดิน 1,214,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนจนกว่าจะชำระเสร็จโดยหักหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยดังกล่าวในฐานะเป็นเจ้าหนี้มีประกันได้ ในระหว่างผู้ร้องดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ซึ่งยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีนี้เพียงรายเดียวได้ยื่นคำร้องขอถอนคำขอรับชำระหนี้ ผู้ร้องได้มีคำสั่งอนุญาตและได้รายงานต่อศาลชั้นต้นขอให้มีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายของจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกเลิกการล้มละลายของจำเลยที่ 2 ตามมาตรา 135(2) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า เมื่อผู้ร้องได้ขอให้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับแก่ผู้คัดค้านให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ให้ผู้คัดค้านจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทคืนแก่จำเลยที่ 2 แล้ว จึงเป็นอันว่าจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้ง 8 โฉนดตามคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายแก่จำเลยที่ 2 ก็ไม่กระทบถึงการใดที่ศาลหรือผู้ร้องที่ได้กระทำไปแล้ว จำเลยที่ 2 ย่อมมีสิทธิขอให้ศาลบังคับผู้คัดค้านปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา ขอให้มีหนังสือแจ้งเจ้าพนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบางขุนเทียน ออกใบแทนโฉนดที่ดินพิพาทแล้วจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แก่จำเลยที่ 2 ตามคำพิพากษาศาลฎีกาต่อไป
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องแต่ผู้เดียวมีอำนาจจัดการเกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลาย การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลในคดีนี้จึงสิ้นสุดลงคำพิพากษาที่ให้เพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทตามที่ผู้ร้องร้องขอก็ไม่มีผลบังคับ คำร้องของจำเลยที่ 2 ที่ขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลฎีกาเป็นการขอให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาคดีล้มละลายต่อไป จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิร้องขอบังคับให้ผู้คัดค้านปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกา ให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 2
จำเลย ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “หลังจากศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของจำเลยที่ 2 แล้ว ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการจำนองและการโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 2กับผู้คัดค้าน ซึ่งมีอำนาจและหน้าที่ของผู้ร้องที่จะต้องกระทำในคดีล้มละลายเพื่อรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้นำมาชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ทั้งหลาย การกระทำของผู้ร้องจึงมิใช่กระทำการแทนจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นลูกหนี้และการขอเพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทก็ปรากฎว่าเป็นกรณีพิพาทกันระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านเท่านั้น ซึ่งเป็นอำนาจและหน้าที่โดยเฉพาะของผู้ร้องจะต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 เพื่อที่จะติดตามเอาทรัพย์สินที่เคยเป็นของจำเลยที่ 2กลับคืนเข้ากองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 เพื่อจัดการแบ่งในระหว่างเจ้าหนี้นั้นเมื่อศาลได้ยกเลิกการล้มละลาย ผู้ร้องก็หมดอำนาจที่จะเก็บรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 เพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้อีกต่อไป เหตุนี้แม้ว่าจำเลยที่ 2 หลุดพ้นจากการเป็นบุคคลล้มละลายแล้วก็ตาม จำเลยที่ 2 ก็ไม่มีสิทธิขอให้บังคับในคดีที่ผู้ร้องร้องขอให้เพิกถอนการโอนและการจำนองให้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้รับโอนที่ดินพิพาททั้ง 8 โฉนด ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาได้ ที่ผู้ร้องฎีกาว่า การยกเลิกการล้มละลายไม่เป็นการลบล้างคำพิพากษาศาลฎีกานั้นเห็นว่า คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความคือระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้าน เมื่อการยกเลิกการล้มละลายมีผลทำให้ผู้ร้องหมดอำนาจที่จะรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 แล้วก็มีผลทำให้ผู้ร้องไม่สามารถบังคับคดีต่อไปได้ หาใช่เป็นเรื่องการยกเลิกการล้มละลายจะเป็นการลบล้างคำพิพากษาศาลฎีกาหรือไม่ส่วนข้อฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ว่า ผู้คัดค้านกระทำการไม่สุจริตโดยสมคบกับเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ให้ถอนคำขอรับชำระหนี้แล้วให้ผู้ร้องรายงานศาลสั่งยกเลิกการล้มละลายเพื่อไม่ให้มีการบังคับคดีแก่ผู้คัดค้านนั้น เห็นว่าก่อนที่เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์จะฟ้องจำเลยที่ 2 ขอให้ล้มละลาย ปรากฎว่าจำเลยที่ 2 ทำสัญญาและจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทให้ผู้คัดค้านพร้อมกับทำหนังสือมอบอำนาจให้ผู้คัดค้านมีสิทธิรับโอนที่ดินพิพาท เพื่อเป็นการชำระหนี้จำนองได้อยู่แล้ว ครั้นถูกผู้ร้องขอให้เพิกถอนการโอนและมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอน จำเลยที่ 2 กลับฉวยโอกาสอาศัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่พิพากษาให้เพิกถอนการโอนมาบังคับเอาที่พิพาทคืนการกระทำของจำเลยที่ 2 ส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 เองเป็นฝ่ายไม่บริสุทธิ์ใจข้อฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่อ้างว่า ผู้คัดค้านกับเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์กระทำไม่สุจริตนั้นฟังไม่ขึ้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 2ทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share