คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1613/2494

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องบรรยายว่า จำเลยบังอาจสมคบกันใช้กำลังกายโดยใช้มือกอดรัดคอ ตบ ตี ชก และข้อศอกตีและใช้เท้าเตะกลุ้มรุมทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย ฯลฯ ดังนี้ เป็นการบรรยายข้อเท็จจริงพอสมควรเท่าที่จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีตาม ป.ม.วิ.อาญามาตรา 158 แล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ถูกทำร้ายมีบาดแผล 4 แห่ง คือ หน้าผากเหนือคิ้วขวาเป็นรอยขีดหนังขาดโลหิตชับ ที่ใต้ตาขวาฟกช้ำหนังกำพร้าขาดโลหิตชับเหนือคิ้วซ้ายมีรอยฟกบวมเล็กน้อยกับที่ต้นคอและบ่าซ้ายบวมอักเสบและที่ข้อไหล่ซ้ายเคล็ดใช้แขนไม่สดวกอีกแห่งหนึ่ง บาดแผลหลังนี้ต้องรักษาอยู่เดือนเศษจึงหาย เรียกได้ว่ามีอาการถึงทุพพลภาพ จึงเป็นบาดเจ็บตามก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 254
ก.ม.ลักษณะอาญาแก้ไขเพิ่มเติมฉะบับที่ 14 พ.ศ.2494 ที่แก้ไขมาตรา 41,42 นั้น ไม่มีการเพิ่มโทษสำหรับที่ถูกรอการลงอาญาไว้ และการที่จะนำโทษเก่ามาบวกกับโทษใหม่ตามมาตรา 42 นั้น โทษครั้งใหม่ที่จำเลยได้รับต้องเป็นโทษจำคุกด้วย

ย่อยาว

คดี ๓ สำนวนนี้เป็นกรณีเดียวกัน ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน ว่า นางสาวพยอม นางดำ นางลำดวนและนายสุจิตต์ผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๕๔ จำคุกคนละ ๑ เดือน เพิ่มโทษนางลำดวนตามมาตรา ๗๒ ประกอบด้วยมาตรา ๔๒ อีก ๑ ใน ๓ กับให้เอาโทษที่รอไว้ประกอบด้วยมาตรา ๔๒ อีก ๑ ใน ๓ กับให้เอาโทษที่รอไว้ตามสำนวนคดีอาญาแดงที่ ๑๔๓/๒๔๙๑ มาลงแก่นางดำด้วยยกฟ้องของนางสาลี่ นางสาวพยอมเสีย ปล่อยนางจินดารัตน์ไป
จำเลยที่ต้องโทษอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ต้องโทษฎีกาหลายประการ
ในฎีกาข้อ ๑ ที่ว่าฟ้องเคลือบคลุมนั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยบังอาจสมคบกันใช้กำลังกายโดยใช้มือรัดคอ ตบ ตี ชก และข้อศอกตีและใช้เท้าเตะ กลุ้มรุมทำร้ายร่างกายนางจินดารัตน์ ฯลฯ ดังนี้ เห็นได้ว่าโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงพอสมควรเท่าที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีตามมาตรา ๑๕๐ ป.ม.วิ.อาญาแล้ว ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ฎีกาข้อ ๒ ว่า บาดแผลไม่ถึงบาดเจ็บนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า บาดแผลของนางจินดารัตน์มีอยู่ ๔ แห่ง คือที่หน้าผากเหนือคิ้วขวาเป็นรอยขีด หนังขาดโลหิตชับแห่งหนึ่ง ที่ใต้ตาขวาเป็นรอยฟกช้ำหนังกำพร้าขาด โลหิตชับแห่งหนึ่ง ที่เหนือคิ้วซ้ายมีรอยฟกบวมเล็กน้อยแห่งหนึ่ง กับที่ต้นคอและบ่าซ้ายช้ำบวมอักเสบ และที่ข้อไหล่ซ้ายเคล็ด ใช้แขนไม่สดวกอีกแห่งหนึ่ง บาดแผลหลังนี้แพทย์ผู้ชัณสูตรประมาณว่าจะต้องรักษา ๒๒ วันแต่ความจริงนางจินดารัตน์ต้องรักษาตัวอยู่เดือนเศษจึงหายเรียกได้ว่านางจินดารัตน์มีอาการถึงทุพพลภาพจึงเป็นบาดเจ็บตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๕๔
ฎีกาข้ออื่นเป็นข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาแต่ศาลฎีกาเห็นว่าศาลล่างพิพากษาวางโทษจำเลยแรงไป จึงพิพากษาแก้ให้จำคุกจำเลยคนละ ๑๕ วัน ปรับคนละ ๕๐๐ บาทตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๕๔ แต่โทษจำคุกให้ยกเสียตามมาตรา ๔๐ คงปรับสถานเดียว ส่วนข้อที่ขอให้เพิ่มโทษนางดำและเอาโทษที่รอการลงอาญามาตรา ๔๑,๔๒ มาลงแก่นางดำอีกนั้น มาตรา ๔๑,๔๒ ได้ถูกแก้ไขใหม่ ไม่มีการเพิ่มโทษสำหรับการที่ถูกรอการลงอาญาไว้ จึงเพิ่มโทษไม่ได้ และจะเอาโทษที่รอไว้มาลงก็ไม่ได้ เพราะโทษในคดีมิได้ให้จำคุก

Share