คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5450/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินโจทก์ซึ่งมีเนื้อที่ 1 งาน 672/10 ตารางวา แต่ในชั้นไต่สวนคำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลยทั้งสองได้ความว่า โจทก์ได้จัดการแบ่งขายที่ดินให้แก่บุคคลอื่นไปเกือบหมด คงเหลือที่ดินพิพาทเฉพาะที่ปลูกบ้านซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 60 ตารางวา แม้ข้อเท็จจริงจะไม่ปรากฏว่าที่ดินพิพาทอาจให้เช่าในขณะยื่นคำฟ้องเกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาทหรือไม่ แต่ที่ดินพิพาทไม่ปรากฏว่าเป็นที่อยู่ในทำเลการค้าอันจะทำให้ได้ค่าเช่าที่ดินสูงเป็นพิเศษอย่างใดเห็นได้ว่าที่ดินพิพาทอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท จำเลยทั้งสองฎีกาว่าจำเลยทั้งสองมิได้จงใจขาดนัดพิจารณา และยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในกำหนด 6 เดือนนับแต่วันที่ได้มีการบังคับตามคำพิพากษา เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินโจทก์ ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 25368ตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา เนื้อที่ 1 งาน67 2/10 ตารางวา ส่งมอบที่ดินแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย และห้ามมิให้จำเลยทั้งสองเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวต่อไป จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นดำเนินคดีไปฝ่ายเดียว แล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริวารขนย้ายทรัพย์สินสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินโจทก์ และห้ามมิให้จำเลยทั้งสองเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าว
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ว่า ฟ้องโจทก์ไม่เป็นความจริง กล่าวคือ ที่ดินพิพาทพร้อมบ้านเลขที่ 80 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินเป็นของจำเลยที่ 2 และบุตรโดยนางห้อง ถิรวุธยายจำเลยที่ 2 ยกให้เมื่อปี 2511 แต่ตกลงใส่ชื่อโจทก์แทนจำเลยที่ 2และบุตรเพื่อป้องกันไม่ให้จำเลยที่ 1 สามีจำเลยที่ 2 บังคับให้จำหน่ายจ่ายโอน โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์และไม่มีอำนาจฟ้องโจทก์ส่งสำเนาคำฟ้อง หมายเรียกและหมายนัดให้แก่จำเลยทั้งสองโดยวิธีปิดหมาย จำเลยทั้งสองไม่ได้รับและไม่ทราบเพราะเมื่อเดือนเมษายน 2533 จำเลยทั้งสองทะเลาะกันแล้วแยกทางกันจำเลยที่ 1 กลับภูมิลำเนาเดิม จำเลยที่ 2 ไปรับจ้างกรีดยางพาราตามอำเภอต่าง ๆ จำเลยที่ 2 เพิ่งทราบว่าถูกฟ้องเมื่อวันที่5 พฤศจิกายน 2533 โดยทราบจากคำบังคับของศาล จึงติดตามไปบอกจำเลยที่ 1 หากจำเลยทั้งสองได้ยื่นคำให้การและต่อสู้คดีก็จะชนะคดี
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยทั้งสองคงมีภูมิลำเนาตามฟ้องโจทก์ทุกประการ จำเลยทั้งสองทราบคำฟ้องของโจทก์โดยวิธีปิดหมายจำเลยที่ 1 เป็นช่างตัดผมอยู่เยื้องกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒจังหวัดสงขลา เสร็จภารกิจก็กลับมาอยู่บ้านตามภูมิลำเนาตามฟ้องรวมทั้งจำเลยที่ 2 กับบุตรและบริวาร ขณะอยู่ในระยะเวลาก่อนครบกำหนดยื่นคำให้การแก้คดี จำเลยทั้งสองได้ไปพบและปรึกษาคดีนี้กับทนายความ แต่ไม่ตกลงจ้างว่าความกัน เพราะตกลงค่าจ้างไม่ได้จำเลยทั้งสองจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยทั้งสองค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ให้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินโจทก์ซึ่งมีเนื้อที่ 1 งาน 67 2/10 ตารางวาแต่ในชั้นไต่สวนคำร้องขอพิจารณาใหม่ของจำเลยทั้งสอง ได้ความว่าเดิมที่ดินตามฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ3 ไร่ หลังจากนางห้องถึงแก่กรรมแล้ว โจทก์ได้จัดการแบ่งขายให้แก่บุคคลอื่นไปเกือบหมด คงเหลือที่ดินเฉพาะที่ปลูกสร้างบ้านซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 60 ตารางวา ดังนี้ แม้ข้อเท็จจริงตามสำนวนจะไม่ปรากฏว่า ที่ดินที่พิพาทกันอาจให้เช่าในขณะยื่นคำฟ้องเกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาทหรือไม่ แต่ที่ดินพิพาทอยู่ที่ตำบลเขารูปช้าง อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา ขณะพิพาทเหลือที่ดินอยู่ประมาณ 60 ตารางวา ไม่ปรากฏว่าเป็นที่อยู่ในทำเลการค้าอันจะทำให้ได้ค่าเช่าที่ดินสูงเป็นพิเศษอย่างใด เห็นได้ว่าที่พิพาทอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าจำเลยทั้งสองมิได้จงใจขาดนัดพิจารณา และยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายในกำหนด 6 เดือน นับแต่วันที่ได้มีการบังคับตามคำพิพากษานั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534มาตรา 18 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของจำเลยทั้งสอง

Share