คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 545/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องซึ่งกล่าวอ้างถึงเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1500(2) ในเหตุหมิ่นประมาทนั้น ไม่เหมือนคำฟ้องที่กล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) วรรคสองบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้กล่าวถึงถ้อยคำพูดอันเกี่ยวกับข้อหมิ่นประมาทโดยบริบูรณ์ ฉะนั้น เมื่อฟ้องโจทก์บรรยายเหตุหย่าไว้ชัดว่าจำเลยด่าว่าหมิ่นประมาทโจทก์และบิดามารดาโจทก์ซึ่งเป็นการร้ายแรง ครบถ้วนตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1500(2) บังคับไว้ย่อมเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 หาเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1025/2493)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน ให้โจทก์เป็นผู้ปกครองบุตรสองคน และให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร

จำเลยให้การปฏิเสธ และว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม คดีขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม คดีไม่ขาดอายุความ และเห็นว่าเหตุถึงขนาดฟ้องหย่าได้คงมีเหตุเดียวที่จำเลยกล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาทโจทก์และบิดามารดาโจทก์ซึ่งเป็นการร้ายแรงพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกัน ให้โจทก์เป็นผู้ปกครองบุตรสองคนและให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีมีประเด็น 3 ข้อ คือ (1) ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ (2) สมควรให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกันหรือไม่ (3) ถ้ามีการหย่ากัน โจทก์หรือจำเลยสมควรเป็นผู้ปกครองบุตร แล้ววินิจฉัยประเด็นข้อ 1 ว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ด่าหมิ่นประมาทโจทก์และบิดาโจทก์ซึ่งเป็นการร้ายแรงนั้น มีใจความว่าอย่างไร จำเลยย่อมไม่อาจต่อสู้คดีได้ถูกต้อง เพราะไม่รู้ข้อหา และไม่เข้าใจข้อหาของโจทก์ จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม และไม่จำต้องวินิจฉัยถึงประเด็นข้ออื่นต่อไป พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1500(2) ระบุไว้ว่า “ฯลฯ หมิ่นประมาทอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นการร้ายแรง ฯลฯ” ศาลฎีกาได้พิเคราะห์คำฟ้องโจทก์แล้ว โจทก์บรรยายฟ้องว่า “จำเลยด่าว่าหมิ่นประมาทโจทก์และบิดามารดาโจทก์เป็นการร้ายแรงเสมอ ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2512 จำเลยได้พาลหาเหตุทะเลาะด่าว่าหมิ่นประมาทโจทก์และบิดามาราโจทก์” ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องไว้ชัดว่าจำเลยด่าว่าหมิ่นประมาทโจทก์และบิดามารดาโจทก์ซึ่งเป็นการร้ายแรง ครบถ้วนตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1500(2) บังคับไว้ จึงเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุมศาลฎีกาเห็นว่าคำฟ้องซึ่งกล่าวอ้างถึงเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1500(2) ในเหตุหมิ่นประมาทนั้น ไม่เหมือนคำฟ้องที่กล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) วรรค 2 บัญญัติไว้เป็นพิเศษว่า ในคดีหมิ่นประมาทถ้อยคำพูดอันเกี่ยวกับข้อหมิ่นประมาทให้กล่าวไว้โดยบริบูรณ์ในคดีอาญาจึงต้องบรรยายฟ้องว่าข้อความหมิ่นประมาทนั้นมีใจความว่าอย่างไร ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1025/2493 ระหว่าง นางสิม นิลหุล โจทก์ นายเคียง นิลหุล จำเลย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยยังไม่ได้พิจารณาพิพากษาในประเด็นข้ออื่นที่ยังโต้เถียงกัน

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ในประเด็นข้อ 2, 3 ซึ่งยังมิได้วินิจฉัย

Share