แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
องค์ประกอบความผิดของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 นั้นจะต้องได้ความว่าการปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติของเจ้าพนักงานนั้นอยู่ในหน้าที่ โจทก์พา ส. ไปแล้วได้จดทะเบียนสมรสกัน ม. บิดาของ ส. ไปแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครปฐมว่าโจทก์ฉุดคร่า ส. จำเลยที่ 2 เป็นนายตำรวจอยู่กองทะเบียนประวัติอาชญากรได้จับโจทก์บอกว่ามีคนแจ้งให้จับเรื่องฉุดผู้หญิง และขู่ให้ถอนทะเบียนสมรสเสีย เมื่อไปถึงสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครปฐมจำเลยที่ 2 ได้พาโจทก์ไปพบจำเลยที่ 1 ที่บ้านจำเลยที่ 1เป็นนายตำรวจอยู่กองบังคับการตำรวจภูธรเขต 7ตำแหน่งนายเวรได้พูดขู่จะทำร้ายโจทก์และให้คนไปตามม.มา ม. บอกว่าจัดการก็แล้วกัน จำเลยที่ 1 ก็ให้จำเลยที่ 2 พาโจทก์ไปมอบให้นายร้อยเวรสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครปฐม การกระทำของจำเลยดังนี้ เป็นการปฏิบัติการนอกหน้าที่ ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 157 เพราะจำเลยมิได้มีหน้าที่เกี่ยวกับคดีที่ ม. แจ้งความไว้นั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่สมคบกันกระทำผิดกฎหมาย กล่าวคือจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นเจ้าพนักงานตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชนกับจำเลยที่ ๓ และที่ ๔ได้บังอาจหน่วงเหนี่ยวกักขังโจทก์ให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายและจำเลยทั้งสี่ได้ข่มขืนใจโจทก์โดยมีอาวุธ เพื่อให้โจทก์ถอนทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์กับนางเสริมศรีซึ่งได้จดทะเบียนกันโดยชอบด้วยกฎหมาย การกระทำของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เป็นการใช้อำนาจไม่เป็นธรรมและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์และการกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายโดยจำเลยทั้งสี่มีเจตนาทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๘๓, ๑๕๗, ๓๐๙, ๓๑๐
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วให้ประทับฟ้องเฉพาะข้อหาฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังตามมาตรา ๓๑๐ ส่วนข้อหาตามมาตรา ๑๕๗ นั้นเห็นว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มิได้มีตำแหน่งหน้าที่รับผิดชอบในคดีที่โจทก์ถูกกล่าวหาโดยตรง ตามพยานหลักฐานที่นำสืบไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ การกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยทั้งสอง ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒(๑๗) และมีอำนาจจับกุมได้ตามมาตรา ๗๘ ซึ่งโจทก์ก็ได้กล่าวไว้ในฟ้องแล้ว เมื่อจำเลยที่ ๑ ที่ ๒จับโจทก์แล้วกักขังไว้ มิได้ส่งไปยังสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครปฐมย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพราะมิได้ปฏิบัติการให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๔
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาใจความเช่นเดียวกับชั้นอุทธรณ์
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ รับราชการอยู่กองบังคับการตำรวจภูธรเขต ๗ ตำแหน่งนายเวร จำเลยที่ ๒ รับราชการอยู่กองทะเบียนประวัติอาชญากร กรมตำรวจ เมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๑๒ โจทก์พานางสาวเสริมศรีไปจังหวัดราชบุรี แล้วต่อมาได้จดทะเบียนสมรสกัน บิดานางเสริมศรีได้แจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครปฐมว่าโจทก์ฉุดคร่านางเสริมศรี ครั้นวันที่ ๑๓เมษายน ๒๕๑๒ จำเลยที่ ๒ กับพวกจับโจทก์จะพาไปสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครปฐมระหว่างทางจำเลยที่ ๒ บอกโจทก์ว่ามีคนแจ้งให้จับเรื่องฉุดผู้หญิง โจทก์ว่าจับอย่างไรได้จดทะเบียนสมรสถูกต้อง จำเลยที่ ๒ บอกว่าให้ถอนเสีย ไม่ถอนจะเอาเรื่องและขู่โจทก์ว่าจะจัดการ ซึ่งหมายความว่าจะทำร้ายโจทก์ เมื่อมาถึงสถานีตำรวจภูธร อำเภอเมืองนครปฐม จำเลยที่ ๒พาไปพบจำเลยที่ ๑ ที่บ้าน จำเลยที่ ๑ พูดกับโจทก์ว่า ได้ข่าวว่านักเลงหรือจะเอาตายหรือหยอดน้ำข้าวต้ม แล้วจำเลยที่ ๑ ให้คนไปตามบิดามารดานางเสริมศรีมา ระหว่างรออยู่นี้จำเลยที่ ๑ บอกโจทก์ว่าได้ยินข่าวว่าลื้อใหญ่โตมีอิทธิพล ลื้อจะเอาอย่างไรกับอั๊วก็ได้ ต่อมานายเม้งบิดานางเสริมศรีมาที่บ้านจำเลยที่ ๑ และบอกจำเลยที่ ๑ ว่า จัดการก็แล้วกัน จำเลยที่ ๑ จึงให้จำเลยที่ ๒พาโจทก์ไปมอบให้ร้อยตำรวจโทโชติ นายร้อยเวร ณ สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครปฐม แล้ววินิจฉัยว่า
คดีมีปัญหาในชั้นนี้ว่า การกระทำของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒จะมีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า องค์ประกอบความผิดตามมาตรานี้จะต้องได้ความในเบื้องต้นว่าการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติของเจ้าพนักงานนั้นต้องอยู่ในหน้าที่แต่การกระทำของจำเลยทั้งสองตามข้อเท็จจริงดังกล่าวเห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ ๑มีตำแหน่งเป็นนายเวรอยู่กองบังคับการตำรวจภูธร เขต ๗ ส่วนจำเลยที่ ๒ก็รับราชการอยู่กองทะเบียนประวัติอาชญากร กรมตำรวจ มิได้มีหน้าที่ปฏิบัติการเกี่ยวกับคดีที่นายเม้งแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครปฐมกล่าวหาโจทก์ว่าฉุดคร่านางเสริมศรีแต่ประการใดเลย เมื่อเป็นการปฏิบัตินอกหน้าที่ ก็ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗
พิพากษายืน