คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5447/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามบทบัญญัติมาตรา 4(1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กำหนดให้การเสนอคำฟ้องสามารถกระทำได้ต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาหรือศาลที่มูลคดีเกิดขึ้น เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์อยู่ที่ตำบลเสม็ด จังหวัดชลบุรี ประกอบอาชีพค้าขายส่งไรให้แก่ลูกค้าทั่วไปจำเลยเป็นลูกค้าสั่งซื้อไรจากโจทก์ ตามคำฟ้องจึงพอฟังได้ว่ามูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลจังหวัดชลบุรี ซึ่งในคำให้การจำเลยอ้างเพียงประการเดียวว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดฉะเชิงเทราเท่านั้น มิได้ให้การว่ามูลคดีมิได้เกิดขึ้นในเขตศาลจังหวัดชลบุรี ดังนั้น เมื่อมูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลจังหวัดชลบุรีโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องที่ศาลจังหวัดชลบุรีได้ ทั้งการฟ้องคดีต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นก็ไม่มีบทบัญญัติบังคับว่าจะต้องบรรยายมาในฟ้องว่ามูลคดีเกิดขึ้นที่ใด เป็นเรื่องที่ศาลสามารถพิจารณาได้จากสภาพแห่งข้อหาที่ปรากฏตามคำฟ้องได้ การที่ศาลจังหวัดชลบุรีรับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาจึงชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ประกอบอาชีพค้าขายส่งไรให้แก่ลูกค้าทั่วไปที่ต้องการสั่งซื้อเพื่อนำไปเลี้ยงปลาหรือกุ้ง จำเลยเป็นลูกค้าคนหนึ่งของโจทก์เมื่อประมาณวันที่ 24 มกราคม 2538 จำเลยสั่งซื้อไรกับโจทก์จำนวน 130 ลัง เป็นเงิน 1,050,000 บาทตกลงว่าจะส่งไรเป็นงวด ๆ เนื่องจากไรกำลังขาดตลาดไม่สามารถส่งให้แก่จำเลยในขณะสั่งซื้อ ต่อมาเมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายน 2538 โจทก์เริ่มสั่งไรให้แก่จำเลยเป็นงวด ๆรวม 5 งวด จนครบ จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์เพียงบางส่วนแล้วผิดนัดไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 973,312.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 870,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลจังหวัดชลบุรี โจทก์ต้องฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน 2538 โจทก์ได้มาติดต่อให้จำเลยเป็นตัวแทนจำหน่ายไร จำเลยมีหน้าที่นำเอาไรของโจทก์ไปจำหน่ายให้แก่ลูกค้าทั่วไป โดยตกลงว่าเมื่อจำเลยจำหน่ายไรแก่ลูกค้าและเก็บเงินได้จะต้องนำเงินส่งให้แก่โจทก์ โจทก์จะแบ่งเงินกำไรให้จำเลยเป็นการตอบแทน หากจำเลยจำหน่ายไรได้130 ลัง จะยกเงินค่าจำหน่ายให้จำเลย 15 ลัง และโจทก์กำหนดเงื่อนไขให้จำเลยแจ้งแก่ลูกค้าทั่วไปว่าหากไรที่ซื้อไปจากโจทก์เพาะไม่ออกตัวหรือออกไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ลูกค้าไม่ต้องจ่ายเงินให้โจทก์ จำเลยได้นำไรจำนวน 130 ลัง ไปจำหน่ายและเก็บเงินได้180,000 บาท แล้วนำส่งโจทก์ ส่วนที่เหลือเก็บเงินไม่ได้เพราะลูกค้าเพาะไรไม่ออกหรือออกไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงไม่ชำระเงินให้ตามเงื่อนไขเงินค่าไรดังกล่าวจึงต้องเป็นพับ ส่วนดอกเบี้ยของเงินที่เก็บจากลูกค้าไม่ได้โจทก์ไม่มีสิทธิมาเรียกร้องจากจำเลย เอกสารใบวางบิลเป็นเอกสารที่โจทก์ทำขึ้นฝ่ายเดียว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 870,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 มีนาคม 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 25 กันยายน 2540) ต้องไม่เกิน 103,312.50 บาท ตามที่โจทก์ขอ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…มีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงข้อเดียวว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดชลบุรีหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) ได้บัญญัติเกี่ยวกับการเสนอคำฟ้องไว้ว่าคำฟ้องให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่ ตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงเห็นได้ชัดว่า การเสนอคำฟ้องสามารถกระทำได้ต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาหรือศาลที่มูลคดีเกิดขึ้น สำหรับในคดีนี้โจทก์ได้บรรยายฟ้องมาแล้วว่าโจทก์อยู่ที่ตำบลเสม็ด อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี และประกอบอาชีพค้าขายส่งไรให้แก่ลูกค้าทั่วไปและบรรยายฟ้องต่อไปว่าจำเลยเป็นลูกค้าได้ทำการสั่งซื้อไรกับโจทก์ ตามคำฟ้องจึงพอฟังได้ว่า โจทก์ค้าขายส่งไรอยู่ที่อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี จำเลยไปสั่งซื้อไรจากโจทก์ดังนั้น มูลคดีจึงเกิดขึ้นในเขตศาลจังหวัดชลบุรี ซึ่งในคำให้การของจำเลยนั้นจำเลยก็อ้างเพียงประการเดียวว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดฉะเชิงเทราเท่านั้น มิได้ให้การว่ามูลคดีมิได้เกิดขึ้นในเขตศาลจังหวัดชลบุรี ดังนั้น เมื่อมูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลจังหวัดชลบุรี โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องที่ศาลจังหวัดชลบุรีได้ และการฟ้องคดีต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้น ก็ไม่มีบทบัญญัติบังคับว่าจะต้องบรรยายในคำฟ้องด้วยว่ามูลคดีเกิดขึ้นที่ใดเป็นเรื่องที่ศาลสามารถพิจารณาได้จากสภาพแห่งข้อหาที่ปรากฏตามคำฟ้องได้ ดังนั้นที่ศาลจังหวัดชลบุรีรับฟ้องโจทก์ในคดีนี้ไว้จึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share