คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5442/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดฐานก่อสร้างอาคารโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นเป็นความผิดตามมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ส่วนความผิดฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่สั่งให้รื้อถอนอาคารเป็นความผิดตามมาตรา 42 มิใช่เป็นความผิดอยู่ในบทมาตราเดียวกัน สำหรับมาตรา 65 นั้น เป็นบทบัญญัติที่กำหนดโทษของความผิดตามมาตรา 21,42 และมาตราอื่น ๆ รวมอยู่ด้วยทั้งโจทก์ก็ได้บรรยายมาในฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึง ที่ 5ได้กระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรม โดยระบุวันเวลาที่กระทำผิดแต่ละฐานต่างกันและลักษณะการกระทำผิดย่อมแยกออกต่างหากจากกันได้ ดังนั้นจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน โจทก์ได้ระบุในฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5เป็นเจ้าของผู้ครอบครองอาคารและเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างอาคารเมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 ให้การรับสารภาพตามฟ้องข้อเท็จจริงจึงฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง ที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5ฎีกาว่า ไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการนั้นขัดกับคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 รับฟังไม่ได้ และโจทก์ได้มีคำขอให้ลงโทษตามมาตรา 69 มาด้วย ซึ่งตามมาตรา 69ได้บัญญัติไว้ว่า “ถ้าการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เป็นการกระทำของผู้ดำเนินการ ผู้กระทำต้องระวางโทษเป็นสองเท่าของโทษที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ”เมื่อความผิดตามมาตรา 65 วรรคสอง มีอัตราโทษปรับวันละ500 บาท ศาลชั้นต้นจึงปรับจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5วันละ 1,000 บาท ต่อคน ตามมาตรา 65 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 69 ได้ หาเป็นการเกินคำขอไม่ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลจำเลยนอกนั้นเป็นกรรมการร่วมกันกระทำความผิด เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 ให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3ถึงที่ 5 ได้ร่วมกันกระทำความผิดในคดีนี้ ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 72 แต่กรณีที่ลงโทษปรับผู้กระทำผิดหลายคน พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะจึงต้องนำประมวลกฎหมายอาญามาตรา 31 ประกอบด้วยมาตรา 17 มาใช้บังคับซึ่งตามมาตรา 31 ให้ศาลลงโทษปรับเรียงตามรายตัวบุคคล จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล จะกักขังแทนค่าปรับไม่ได้ การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้กักขังจำเลยที่ 1 หากไม่ชำระค่าปรับจึงเป็นการไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 21, 40, 42, 65, 69, 71, 72 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4
จำเลยทั้งห้าให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งห้ามีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 21, 40, 42, 65, 69, 71, 72ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ให้เรียงกระทงลงโทษฐานก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต ปรับคนละ 10,000 บาทฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ให้รื้อถอนอาคาร ปรับคนละ10,000 บาท และปรับอีกคนละ 1,000 บาทต่อวัน รวม 190 วัน รวมเป็นปรับอีกคนละ 190,000 บาท รวมเป็นปรับจำเลยทั้งห้าทั้งสิ้นคนละ200,000 บาท จำเลยทั้งห้าให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คนละกึ่งหนึ่ง คงลงโทษปรับคนละ 105,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยทั้งห้าฎีกา
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตายสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(1) จึงให้จำหน่ายคดีโจทก์เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2ออกเสียจากสารบบความ
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 ในข้อแรกว่า เมื่อลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 ฐานก่อสร้างอาคารโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นแล้วจะลงโทษฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่สั่งให้รื้อถอนอาคารได้อีกหรือไม่ เห็นว่าความผิดฐานก่อสร้างอาคารโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นเป็นความผิดตามมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522ส่วนความผิดฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่สั่งให้รื้อถอนอาคารเป็นความผิดตามมาตรา 42 มิใช่เป็นความผิดอยู่ในบทมาตราเดียวกันดังที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 ฎีกา สำหรับมาตรา 65 นั้น เป็นบทบัญญัติที่กำหนดโทษของความผิดตามมาตรา 21, 42และมาตราอื่น ๆ รวมอยู่ด้วยทั้งโจทก์ก็ได้บรรยายมาในฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 ได้กระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมโดยระบุวันเวลาที่กระทำผิดแต่ละฐานต่างกัน และลักษณะการกระทำผิดย่อมแยกออกต่างหากจากกันได้ ดังนั้นจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันการที่ศาลชั้นต้นปรับจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 ฐานกระทำความผิดตามมาตรา 21 กระทงหนึ่ง และตามมาตรา 42 วรรคสอง อีกกระทงหนึ่งชอบแล้ว
ปัญหาในข้อต่อไปมีว่า การที่ศาลชั้นต้นปรับจำเลยที่ 1 ที่ 3ถึงที่ 5 คนละ 1,000 บาท ต่อวันเกินคำขอหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ได้ระบุในฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 เป็นเจ้าของผู้ครอบครองอาคารและเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างอาคาร เมื่อจำเลยที่ 1ที่ 3 ถึงที่ 5 ให้การรับสารภาพตามฟ้อง ข้อเท็จจริงจึงฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 ฎีกาว่า ไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการนั้นขัดกับคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 รับฟังไม่ได้ และโจทก์ได้มีคำขอให้ลงโทษตามมาตรา 69 มาด้วย ซึ่งตามมาตรา 69ได้บัญญัติไว้ว่า “ถ้าการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เป็นการกระทำของผู้ดำเนินการ ผู้กระทำต้องระวางโทษเป็นสองเท่าของโทษที่บัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ” ดังนั้นศาลชั้นต้นจึงปรับจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 วันละ 1,000 บาท ต่อคน ตามมาตรา 65 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 69 ได้ หาเป็นการเกินคำขอไม่
ปัญหาในข้อสุดท้ายมีว่า ศาลชั้นต้นปรับจำเลยที่ 1 ที่ 3ถึงที่ 5 เรียงตามรายตัวได้หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 72 บัญญัติ ไว้ว่า “ในกรณีที่นิติบุคคลกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ให้ถือว่ากรรมการหรือผู้จัดการทุกคนของนิติบุคคลนั้นเป็นผู้ร่วมกระทำผิดกับนิติบุคคลนั้น” โจทก์ได้ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล จำเลยนอกนั้นเป็นกรรมการร่วมกันกระทำความผิด เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 ให้การรับสารภาพข้อเท็จจริงจึงฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5ได้ร่วมกันกระทำความผิดในคดีนี้ และกรณีที่ลงโทษปรับผู้กระทำผิดหลายคน พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะจึงต้องนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 31 ประกอบด้วยมาตรา 17 มาใช้บังคับซึ่งตามมาตรา 31 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ให้ศาลลงโทษปรับเรียงตามรายตัวบุคคล
อนึ่ง คดีนี้ศาลล่างทั้งสองลงโทษปรับจำเลยที่ 1 หากจำเลยที่ 1ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลจะกักขังแทนเงินค่าปรับไม่ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองให้กักขังจำเลยที่ 1 หากไม่ชำระค่าปรับจึงไม่ชอบ
พิพากษายืน แต่เฉพาะจำเลยที่ 1 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29

Share