คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5440/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์และจำเลยต่างมีหน้าที่ปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่กัน ทั้งโจทก์และจำเลยย่อมมีสิทธิที่จะขอให้ดำเนินการบังคับคดีให้อีกฝ่ายหนึ่งปฏิบัติตามคำพิพากษาได้ภายในสิบปีนับแต่วันที่มี คำพิพากษาถึงที่สุดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 271 เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่นำเงินจำนวนดังกล่าวมาชำระ จำเลยย่อมชอบที่จะร้องขอต่อศาลขอให้ดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาในส่วนนี้ได้ และเมื่อศาลได้ออกคำบังคับให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้วโจทก์ไม่ยอมปฏิบัติตาม จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาก็ชอบที่จะยื่นคำขอ ต่อศาลเพื่อขอให้ออกหมายบังคับคดีแก่โจทก์ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 275 ส่วนโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ที่จะบังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ย่อมชอบที่จะร้องขอต่อศาลขอให้ดำเนินการบังคับคดีให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาได้ภายในสิบปีเช่นกัน
แม้จำเลยจะนำโฉนดที่ดินพิพาทมาวางศาลเพื่อให้โจทก์มารับไปจดทะเบียนโอนตามคำพิพากษาก็ตาม แต่การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์รับจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทพร้อมกับชำระเงินค่าที่ดิน ตอบแทนจำเลยภายในกำหนด โดยให้โจทก์มีสิทธินำเงินค่าเสียหายตามคำพิพากษามาหักชำระค่าที่ดินได้ หากโจทก์ไม่ดำเนินการภายในกำหนดเวลาดังกล่าวให้ถือว่าโจทก์ตกเป็นฝ่ายผิดนัด ไม่มีสิทธิที่จะขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาแก่จำเลยทั้งสองอีกต่อไปนั้น เป็นคำสั่งนอกเหนือคำบังคับย่อมเป็นการไม่ชอบ เพราะเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าวจะถือว่าโจทก์ผิดนัดหรือสละสิทธิในการรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทไม่ได้ เป็นการนอกเหนือคำพิพากษาและโจทก์มิได้ตกลงด้วย หากจำเลยเห็นว่าโจทก์มิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษา จำเลยก็ชอบที่จะดำเนินการขอออกหมายบังคับคดีแก่โจทก์เพื่อให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษานั้นได้ต่อไป

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาลงวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๐ บังคับให้จำเลยที่ ๑ จดทะเบียน โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๔ แก่โจทก์พร้อมกับให้โจทก์ชำระค่าที่ดิน ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตอบแทนแก่จำเลยที่ ๑ โดยให้โจทก์มีสิทธิหักเงินค่าเสียหายในอัตราเดือนละ ๔๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๓๙ จนกว่าจำเลยที่ ๑ จะจดทะเบียนโอนแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ คดีถึงที่สุดโดยไม่มีอุทธรณ์ ต่อมาวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ จำเลยที่ ๑ ได้นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องชำระแทนโจทก์จำนวน ๘๐,๐๐๐ บาท พร้อมโฉนด ที่ดินพิพาทมาวางต่อศาลชั้นต้นเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ และวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ จำเลยที่ ๑ ได้นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องชำระแทนโจทก์เพิ่มอีก ๑๐๕,๐๒๕ บาท มาวางต่อศาลชั้นต้นเพื่อชำระแก่โจทก์ ในวันเดียวกันนั้นเองศาลชั้นต้นได้ออกคำบังคับให้โจทก์นำเงินค่าที่ดินที่จะต้องชำระแก่จำเลยที่ ๑ มาวางศาลภายใน ๓๐ วัน เมื่อนำเงินค่าที่ดินมาวางศาลแล้วให้โจทก์รับโฉนดที่ดินไปจดทะเบียนตามคำพิพากษาต่อไป พร้อมกับให้โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ ๑ ได้นำโฉนดที่ดินและค่าฤชาธรรมเนียมมาวางศาลแล้ว ต่อมาวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๔๑ โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอขยายระยะเวลาปฏิบัติตามคำบังคับออกไป ๖ เดือน เนื่องจากโจทก์หาเงินมาชำระหนี้ให้จำเลยที่ ๑ ไม่ทัน โจทก์ไม่ขอรับเงินค่าเสียหายเดือนละ ๔๐,๐๐๐ บาท นับจากวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๔๑ เป็นต้นไป ต่อมาวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๔๑ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาภายในวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๔๑
ครั้นวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๔๑ จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องว่า โจทก์ผิดนัดไม่ยอมรับโอนที่ดินตามคำพิพากษา จึงถือว่าโจทก์สละสิทธิในการบังคับคดีตามคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นสั่งนัดพร้อมวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๔๑ เมื่อถึงวันนัดโจทก์และทนายจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มาศาล โจทก์แถลงขอขยายระยะเวลานำเงินมาชำระหนี้ให้จำเลยที่ ๑ ออกไปอีก ๒ ปี นับแต่วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๔๑ และยังติดใจ ที่จะบังคับเอาที่ดินพิพาทมาเป็นของโจทก์ จำเลยที่ ๑ แถลงว่า จำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ต้องนำเงินที่โจทก์นำมาชำระค่าที่ดินพิพาทไปชำระให้แก่จำเลยที่ ๒ ตามจำนวนเงินราคาที่ดินที่จำเลยที่ ๒ ซื้อจากจำเลยที่ ๑ ต่อมาวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๔๑ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ให้โจทก์รับจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทพร้อมกับชำระเงินค่าที่ดิน ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตอบแทนจำเลยที่ ๑ ภายในวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๔๑ โดยให้โจทก์มีสิทธินำค่าเสียหายตามคำพิพากษาหักชำระค่าที่ดินได้ หากโจทก์ไม่ดำเนินการภายในกำหนดเวลาดังกล่าวให้ถือว่าโจทก์ตกเป็นฝ่ายผิดนัดไม่มีสิทธิที่จะขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาเอาแก่ จำเลยทั้งสองอีกต่อไป
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗๑ โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีเท่านั้นมีสิทธิบังคับคดีได้ภายใน ๑๐ ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษา ส่วนจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา ไม่มีสิทธิบังคับคดีนั้น เห็นว่า กรณีตามคำพิพากษาในคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์และจำเลยทั้งสองต่างมีหน้าที่ปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่กัน ดังนั้นทั้งโจทก์และจำเลยย่อมมีสิทธิที่จะขอให้ดำเนินการบังคับคดีให้ อีกฝ่ายหนึ่งปฏิบัติตามคำพิพากษาได้ภายในสิบปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗๑ เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในส่วนที่ต้องนำเงินจำนวน ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท มาชำระราคาที่ดินแก่จำเลยที่ ๑ ไม่นำเงินจำนวนดังกล่าวมาชำระ จำเลยที่ ๑ ย่อมชอบที่จะร้องขอต่อศาลขอให้ดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาในส่วนนี้ได้ และเมื่อศาลได้ออกคำบังคับให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้วโจทก์ไม่ยอมปฏิบัติตาม จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาก็ชอบที่จะยื่นคำขอต่อศาลเพื่อขอให้ออกหมายบังคับคดีแก่โจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗๕ ส่วนโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่จะบังคับให้จำเลยที่ ๑ โอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์นั้น โจทก์ย่อมชอบที่จะร้องขอต่อศาลขอให้ดำเนินการบังคับคดีให้จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติตาม คำพิพากษาได้ภายในสิบปีเช่นกัน
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งตามคำร้องของจำเลยที่ ๑ ฉบับลงวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๔๑ ชอบหรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยที่ ๑ จะนำโฉนดที่ดินพิพาทมาวางศาลเพื่อให้โจทก์มารับไปจดทะเบียนโอนตาม คำพิพากษาก็ตาม แต่การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์รับจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทพร้อมกับชำระเงินค่าที่ดิน ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตอบแทนจำเลยที่ ๑ ภายในวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๔๐ โดยให้โจทก์มีสิทธินำเงินค่าเสียหายตามคำพิพากษามาหักชำระค่าที่ดินได้ หากโจทก์ไม่ดำเนินการภายในกำหนดเวลาดังกล่าวให้ถือว่าโจทก์ตกเป็นฝ่ายผิดนัด ไม่มีสิทธิ ที่จะขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาแก่จำเลยทั้งสองอีกต่อไปนั้นเป็นคำสั่งนอกเหนือคำบังคับเป็นการไม่ชอบเพราะเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าวจะถือว่าโจทก์ผิดนัดหรือสละสิทธิในการรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทไม่ได้ เพราะเป็นการนอกเหนือคำพิพากษาและโจทก์มิได้ตกลงด้วย หากจำเลยที่ ๑ เห็นว่า โจทก์มิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษา จำเลยที่ ๑ ชอบที่จะดำเนินออกหมายบังคับคดีแก่โจทก์เพื่อให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษานั้นได้ต่อไป
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของจำเลยที่ ๑ ฉบับลงวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๔๑ .

Share