แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติ ญญัติล้มละลายฯ มาตรา 25 มิใช่บทบังคับให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต้องเข้าว่าคดีแพ่งอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ซึ่งค้างพิจารณาอยู่ในศาล ขณะที่มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ทุกเรื่องไป การจะเข้าว่าคดีหรือไม่เป็นดุลพินิจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และหากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำขอประการใดศาลก็มีอำนาจพิจารณาสั่งได้ตามที่เห็นสมควร การที่โจทก์ไม่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายภายในกำหนด โจทก์ย่อมหมดสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ขอเข้าว่าคดีแพ่งแทนจำเลย โดยขอให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดี จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบบความและคำสั่งดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นการตัดสิทธิโจทก์ที่จะยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา 93
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 2,276,255.97 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ16.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 859,716.70 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นทนายโจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยทั้งสองถูกศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วขอให้ศาลชั้นต้นเรียกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองว่าคดีแทนจำเลยทั้งสองต่อไป
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำแถลงว่า โจทก์มิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองในคดีล้มละลายหากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะเข้าว่าคดีของจำเลยทั้งสองต่อไปจะเป็นการขยายระยะเวลาในการยื่นคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ตามมาตรา 91 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 อันอาจทำให้เจ้าหนี้อื่นเสียเปรียบและไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่กองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสอง จึงไม่ขอเข้าว่าคดี ขอให้จำหน่ายคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความ
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังยุติว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2533 ในขณะที่คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2534 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเรียกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาดำเนินคดีแทนจำเลยทั้งสอง โดยมิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในสองเดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาด ปัญหามีว่าสมควรจำหน่ายคดีนี้ตามคำขอของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หรือไม่ เห็นว่า เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว เจ้าหนี้จะขอรับชำระหนี้ได้ก็โดยปฏิบัติตามวิธีการที่กล่าวไว้ในกฎหมายล้มละลายเท่านั้นแม้จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือเป็นเจ้าหนี้ที่ได้ฟ้องคดีแพ่งไว้แล้ว แต่คดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาก็ตามก็ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลา 2 เดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 27 และ 91 ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ที่ได้ฟ้องคดีแพ่งไว้แล้วแต่คดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว แม้พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 25จะบัญญัติให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าว่าคดีแพ่งทั้งปวงอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ซึ่งค้างพิจารณาอยู่ในศาลขณะที่มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ก็ตาม แต่บทมาตราดังกล่าวก็มิใช่บทบังคับให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต้องเข้าว่าคดีเช่นว่านี้ทุกเรื่องไปการจะเข้าว่าคดีหรือไม่เป็นดุลพินิจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และหากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำขอเป็นประการใดแล้ว ศาลก็มีอำนาจพิจารณาสั่งได้ตามที่เห็นสมควรเช่นกัน และกรณีของโจทก์นี้กฎหมายได้ให้สิทธิโจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้ว แต่โจทก์ไม่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดโจทก์ย่อมหมดสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์ดังกล่าวเนื่องมาจากความผิดของโจทก์เอง การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ขอเข้าว่าคดีแพ่งแทนจำเลย ขอให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีและศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบบความจึงชอบแล้ว คำสั่งของศาลดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นการตัดสิทธิโจทก์ที่จะยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 93 แต่อย่างใด ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน