แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท แต่ได้มี การออก น.ส.3 ก. ของที่ดินพิพาทว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 เป็น ผู้ครอบครองและได้ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแล้ว การออกหนังสือ น.ส.3 ก. ดังกล่าวจึงไม่ชอบและคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ซึ่งอาจถูกเพิกถอนได้โดยพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจตาม ประมวลกฎหมายที่ดินฯ มาตรา 61 เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท จำเลยที่ 6 ผู้รับโอนสิทธิต่อจากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 จึงไม่มีสิทธิดีกว่าจำเลยที่ 1ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 7 ผู้รับโอนสิทธิครอบครองจากจำเลยที่ 6ในที่ดินพิพาทก็ย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าจำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นผู้โอน การได้สิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง ต้องเป็นการได้สิทธิในที่ดินที่ได้จดทะเบียนแล้ว และสิทธิที่ได้นั้นต้องเกิดจากเอกสารสิทธิของที่ดินที่ออก โดยชอบ เมื่อ น.ส.3 ก. ออกโดยไม่ชอบ จำเลยที่ 7 จะอ้าง สิทธิใด ๆ ที่เกิดจากเอกสารที่ออกโดยไม่ชอบหาได้ไม่ การออก น.ส.3 ก. ของที่ดินพิพาทโดยคลาดเคลื่อน ซึ่งอาจ ถูกเพิกถอนได้ตามกฎหมายนั้น โจทก์ชอบที่จะดำเนินการออก น.ส.3 ก. ในที่ดินพิพาทตามสิทธิของโจทก์แต่จะบังคับให้ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ซึ่งไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท โอนสิทธิครอบครองให้โจทก์ไม่ได้ ส่วนการขอให้เพิกถอนชื่อ จำเลยที่ 7 ออกจาก น.ส.3 ก. แล้วใส่ชื่อโจทก์ลงในทะเบียน น.ส.3 ก. แทน จะแปลว่าเป็นการขอให้บังคับให้จดทะเบียนโอน ที่ดินพิพาทให้โจทก์ไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 58 จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อประมาณปี 2528 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 นำที่ดินดังกล่าวของโจทก์ไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2926โดยโจทก์ไม่ยินยอม โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 เป็นคดีแพ่งต่อศาลชั้นต้น ให้ศาลมีคำพิพากษาว่าที่ดินเป็นของโจทก์ซึ่งศาลพิพากษาและคดีถึงที่สุดแล้ว ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1243/2535 ของศาลชั้นต้น ในระหว่างดำเนินคดีดังกล่าวจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 โอนขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 6 การกระทำของจำเลยเป็นการสมคบกันโดยรู้อยู่แล้วว่ามีการฟ้องร้องกันอยู่เป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบไม่สามารถติดตามเอาทรัพย์ดังกล่าวคืนได้ และจำเลยที่ 6 ได้โอนขายที่ดินพิพาทต่อให้จำเลยที่ 7 พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นการร่วมกันโอนโดยไม่สุจริตราคาซื้อขายต่ำกว่าความเป็นจริง เป็นการร่วมกันฉ้อฉลโจทก์ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1926 (ที่ถูก 2926) ตำบลขามใหญ่อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานีระหว่างจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 กับจำเลยที่ 6 และระหว่างจำเลยที่ 6กับจำเลยที่ 7 และให้เพิกถอนชื่อจำเลยทั้งเจ็ดออกจากสารบบที่ดินดังกล่าว ให้จำเลยที่ 7 ส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทคืนแก่เจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินอำเภอเมืองอุบลราชธานีเพื่อดำเนินการเพิกถอนชื่อจำเลยออกจากทะเบียนต่อไปหากจำเลยที่ 7 เพิกเฉยให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และให้เจ้าพนักงานที่ดินใส่ชื่อโจทก์ลงในทะเบียนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวแทน ห้ามจำเลยที่ 7เข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทและให้จำเลยที่ 1 และที่ 7 พร้อมบริวารรื้อบ้านและขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินพิพาท และห้ามจำเลยทั้งเจ็ดและบริวารเข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไปหากไม่สามารถบังคับตามคำขอทั้งหมดที่กล่าวมาได้ ให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันหรือแทนกันใช้ราคาที่ดินเป็นเงิน 750,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระราคาแทนเสร็จ
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ในปี 2528 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ได้นำแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) สำหรับที่ดินดังกล่าวไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ต่อทางราชการโดยสุจริต ขณะโจทก์ฟ้องคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1243/2535ต่อศาลชั้นต้นนั้นโจทก์ไม่ใช่เจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองและขณะที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1243/2535ที่ดินพิพาทก็ได้โอนเป็นของจำเลยที่ 6 โดยชอบด้วยกฎหมายโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนจึงไม่ได้เป็นการกระทำโดยฉ้อฉลโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 5 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 6 และที่ 7 ให้การว่า จำเลยที่ 6 ซื้อที่ดินพิพาทมาจากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนเช่นเดียวกับการนำไปขายต่อให้แก่จำเลยที่ 7 จำเลยที่ 7 ก็ได้ซื้อไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 1926 (ที่ถูก 2926) ตำบลขามใหญ่ อำเภอเมืองอุบลราชธานีจังหวัดอุบลราชธานี ระหว่างจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5กับจำเลยที่ 6 และระหว่างจำเลยที่ 6 กับจำเลยที่ 7 และให้โอนให้แก่โจทก์ หากไม่ดำเนินการให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันใช้ราคาเป็นเงิน 750,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น ให้ขับไล่จำเลยทั้งเจ็ดและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทและห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไปคำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ที่ 6 และที่ 7 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่าไม่จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 7 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1รับฟังมาโดยไม่มีฝ่ายใดโต้แย้งคัดค้านรับฟังยุติได้ว่าที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ประมาณ 25 ไร่ ตั้งอยู่ตำบลขามใหญ่ อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี ต่อมาที่ดินพิพาทได้มีการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2926 เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2529 เพื่อแสดงว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 เป็นผู้ได้ครอบครองและได้ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแล้วก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2533 และศาลชั้นต้นได้พิพากษาคดีถึงที่สุดตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1243/2535 ของศาลชั้นต้นแต่ในระหว่างการพิจารณาคดีดังกล่าว จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5ร่วมกันโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 6 และจำเลยที่ 6ได้จดทะเบียนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 7 และศาลในคดีดังกล่าวได้วินิจฉัยว่าโจทก์ยังคงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทแต่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ได้ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกในคดีดังกล่าว คำพิพากษาย่อมไม่มีผลผูกพันบุคคลภายนอกคดี จึงมิได้วินิจฉัยเกี่ยวกับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2926 ของที่ดินพิพาท โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยทั้งเจ็ดเป็นคดีนี้
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 7 มีว่าการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2926 ของที่ดินพิพาทชอบหรือไม่ และจำเลยที่ 7 มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์หรือไม่ เห็นว่า ศาลได้วินิจฉัยคดีถึงที่สุดแล้วว่าโจทก์ยังคงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ฉะนั้นการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2926ของที่ดินพิพาทเพื่อแสดงว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 เป็นผู้ได้ครอบครองและได้ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแล้ว แม้จะมีการดำเนินการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องก็ตาม เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ไม่ใช่เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ฉะนั้น การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของที่ดินพิพาทดังกล่าวเพื่อแสดงว่าจำเลยที่ 1ถึงที่ 5 มีสิทธิครอบครองและได้ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทจึงเป็นการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง หนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ออกไว้ดังกล่าวจึงไม่ชอบ ซึ่งอาจถูกเพิกถอนได้โดยพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 เมื่อข้อเท็จจริงศาลได้วินิจฉัยคดีถึงที่สุดแล้วว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท จำเลยที่ 6 ผู้รับโอนสิทธิต่อจากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 จึงไม่มีสิทธิดีกว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5ในทำนองเดียวกันจำเลยที่ 7 ผู้รับโอนสิทธิครอบครองจากจำเลยที่ 6 ในที่ดินพิพาทย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าจำเลยที่ 6ซึ่งเป็นผู้โอน ที่จำเลยที่ 7 อ้างว่าโจทก์จะยกเอาสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตามคำวินิจฉัยของศาลขึ้นต่อสู้กับจำเลยที่ 7ที่ได้สิทธิอันเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้นั้น เห็นว่าการได้สิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง ต้องเป็นการได้สิทธิในที่ดินที่ได้จดทะเบียนแล้วและสิทธิที่ได้นั้นต้องเกิดจากเอกสารสิทธิของที่ดินที่ออกโดยชอบ เมื่อศาลฎีกาฟังว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2926ของที่ดินพิพาทออกโดยไม่ชอบ จำเลยที่ 7 จะอ้างสิทธิใด ๆที่เกิดจากเอกสารที่ออกโดยไม่ชอบหาได้ไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 7 ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จะบังคับให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ได้หรือไม่ เห็นว่า ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2926 ของที่ดินพิพาทเป็นการออกโดยคลาดเคลื่อน ซึ่งอาจถูกเพิกถอนได้ตามกฎหมายโจทก์ก็ชอบที่จะดำเนินการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตามสิทธิของโจทก์ จะบังคับให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5ซึ่งไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทโอนสิทธิครอบครองให้โจทก์ไม่ได้ การขอให้เพิกถอนชื่อจำเลยที่ 7 ออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วใส่ชื่อโจทก์ลงในทะเบียนหนังสือรับรองการทำประโยชน์แทน จะแปลว่าเป็นการขอให้บังคับให้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ไม่ได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน”
พิพากษายืน