คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 543/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ได้ลงชื่อและประทับตราห้างจำเลยที่ 1 ออกเช็คพิพาทของจำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเงินให้โจทก์ แม้จะเป็นการค้ำประกันการกู้เงินดังที่จำเลยให้การต่อสู้ก็ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 วรรคแรก บัญญัติว่าบุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น ฉะนั้น เมื่อโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทเรียกเก็บเงินจากธนาคารไม่ได้ จำเลยก็ย่อมมีหน้าที่ต้องใช้เงินตามเช็คนั้นให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 914 ประกอบด้วยมาตรา 989
เช็คเป็นตั๋วเงินซึ่งไม่มีข้อความว่าค้ำประกันแต่ประการใด ทั้งสภาพของเช็คเป็นการสั่งธนาคารให้ใช้เงิน ไม่ใช่การค้ำประกันจึงไม่เป็นหลักฐานแห่งสัญญาค้ำประกัน ผู้ออกเช็คจะนำสืบว่าออกเช็คเพื่อค้ำประกันลูกหนี้ไม่ได้เพราะมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ
เช็คพิพาทมีข้อความสั่งให้ธนาคารจ่ายเงินเป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงเช็คขึ้นเงินไม่ได้ จำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายก็ต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ โดยไม่จำเป็นต้องทวงถามอีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายน 2516 จำเลยที่ 2 นำเช็คของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 2 ลงชื่อประทับตราห้างจำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเงิน20,000 บาท แต่มิได้ลงวันที่สั่งจ่ายมาแลกเงินสดไปจากโจทก์ ต่อมาวันที่21 มกราคม 2518 โจทก์นำเช็คไปเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน ปรากฏว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันและแทนกันชำระเงินตามเช็ค เป็นเงิน 20,000 บาท แก่โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ

จำเลยทั้งสองให้การว่า เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม 2516 นายสหัสศรีจักรโคตร กู้ยืมเงินโจทก์และขอให้จำเลยที่ 2 ออกเช็คตามฟ้องให้แก่โจทก์เป็นการค้ำประกันเงินกู้รายนี้ โจทก์ชอบที่จะไปเรียกร้องเอาเงินกู้จากนายสหัสโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสอง การค้ำประกันเงินกู้เป็นกิจการที่อยู่นอกวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์ โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองทราบว่า นายสหัสผิดนัดไม่ชำระหนี้ โจทก์ยังไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย แล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 20,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินแก่โจทก์เสร็จ

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 ได้ลงชื่อและประทับตราห้างจำเลยที่ 1ออกเช็คพิพาทของจำเลยที่ 1 สั่งจ่ายให้โจทก์ แม้จะเป็นการค้ำประกันการกู้เงินดังที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้ก็ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 900 วรรคแรก บัญญัติว่า บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น ฉะนั้น เมื่อโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาท เรียกเก็บเงินจากธนาคารไม่ได้ จำเลยก็ย่อมมีหน้าที่ต้องใช้เงินตามเช็คนั้นให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 914 ประกอบด้วยมาตรา 989 และโดยที่เช็คเป็นตั๋วเงิน ซึ่งไม่มีข้อความว่าค้ำประกันแต่ประการใดทั้งสภาพของเช็คเป็นการสั่งธนาคารให้ใช้เงิน ไม่ใช่การค้ำประกัน จึงไม่เป็นหลักฐานแห่งสัญญาค้ำประกันและจะนำสืบว่าเป็นการค้ำประกันหาได้ไม่เพราะมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือตามกฎหมายแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้จึงไม่จำต้องสืบพยานของคู่ความดังที่จำเลยฎีกาขึ้นมา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยจึงชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าเช็คไม่ใช่หลักฐานแห่งสัญญาค้ำประกันและจะนำสืบว่าเป็นการค้ำประกันหาได้ไม่ไปแล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า การค้ำประกันเงินกู้เป็นกิจการที่อยู่นอกวัตถุประสงค์ของห้างจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์ จึงเป็นอันตกไป ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยต่อไป

ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองทราบว่านายสหัส ศรีจักรโคตร ผิดนัดไม่ชำระหนี้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยออกเช็คให้โจทก์นั้น ตามคำให้การของจำเลยก็ไม่ปรากฏว่ามีข้อตกลงให้โจทก์ต้องแจ้งให้จำเลยทราบเช่นนั้น ยิ่งกว่านั้นยังปรากฏว่าเช็คพิพาทมีข้อความสั่งให้ธนาคารจ่ายเงินเป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงเช็คขึ้นเงินไม่ได้ จำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายก็ต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์โดยไม่จำเป็นต้องทวงถามอีก

พิพากษายืน

Share