แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งโจทก์จำนองแก่จำเลยและมอบให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยเงินกู้ต่อมาโจทก์ประสงค์จะไถ่ถอนจำนอง แต่จำเลยปฏิเสธ จึงขอให้จำเลยรับเงินและคืนที่ดินแก่โจทก์ จำเลยให้การว่า โจทก์ได้ขายที่ดินพิพาทโดยสละการครอบครองให้แก่จำเลย ที่ดินพิพาทตกเป็นของจำเลย และจำเลยครอบครองเกินกว่าหนึ่งปี จึงพ้นกำหนดเวลาฟ้องเรียกคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ดังนี้ เมื่อจำเลยยกเหตุเป็นข้อต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย จึงไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนดเวลาหนึ่งปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ เพราะเหตุแย่งการครอบครองตามบทบัญญัติดังกล่าวนั้น ที่ดินต้องเป็นสิทธิครอบครองของผู้อื่น หาได้หมายความถึงที่ดินที่ตนเป็นผู้มีสิทธิครอบครองเองไม่ ฉะนั้น การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวจึงไม่ชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรับเงินจำนวน 5,000 บาท จากโจทก์และคืนการครอบครองที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1)เลขที่ 44 ตำบลหลุ่งตะเคียน (เดิมตำบลงิ้ว) อำเภอห้วยแถลง(เดิมอำเภอพิมาย) จังหวัดนครราชสีมา ทางด้านทิศตะวันออกของแปลงเนื้อที่ 16 ไร่ 2 งาน ให้โจทก์และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 3,200 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยรับเงินจำนวน 5,000 บาทจากโจทก์และคืนการครอบครองที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครอง เลขที่ 44ทางทิศตะวันออก เนื้อที่ 16 ไร่ 2 งาน แก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายปีละ 1,200 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะคืนที่ดินแก่โจทก์
จำเลยฎีกาโดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังยุติว่าเดิมที่ดินพิพาทตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 44เนื้อที่ 50 ไร่ ตามเอกสารหมาย จ.1 เป็นสิทธิครอบครองของนายชายหรือทราย เลาะกลาง หรือเราะกลางบิดาโจทก์และจำเลย ต่อมานายชายได้แบ่งที่ดินให้แก่บุตรทุกคนรวมทั้งโจทก์และจำเลย โดยส่วนของโจทก์อยู่ด้านทิศเหนือคือที่ดินตามหมายเลข 1, 2 และ 3 ในเอกสารหมายจ.2 หรือส่วนที่ 1 และส่วนที่ 2 ในเอกสารหมาย จ.3 สำหรับที่ดินพิพาทคือ ที่ดินตามหมายเลข 2 และ 3 หรือส่วนที่ 2 ซึ่งปัจจุบันจำเลยเป็นผู้ครอบครอง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่าที่ดินพิพาทโจทก์ได้ขาดสิทธิฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองเพราะเหตุถูกจำเลยแย่งการครอบครองหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ซึ่งโจทก์จำนองแก่จำเลยและมอบให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยเงินกู้ จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทโจทก์ได้ขายโดยสละการครอบครองให้แก่จำเลย ที่ดินพิพาทตกเป็นของจำเลย และจำเลยครอบครองเกินกว่าหนึ่งปี จึงพ้นกำหนดเวลาฟ้องเรียกคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1375 วรรคสอง แต่เหตุแย่งการครอบครองตามบทบัญญัติดังกล่าววรรคหนึ่งนั้นที่ดินต้องเป็นสิทธิครอบครองของผู้อื่น หาได้หมายความถึงที่ดินที่ตนเป็นผู้มีสิทธิครอบครองเองไม่ เมื่อจำเลยยกเหตุเป็นข้อต่อสู้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยจึงไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนดเวลาหนึ่งปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นดังกล่าวเป็นการไม่ชอบ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปมีว่า ที่ดินพิพาทโจทก์ได้มอบให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยเงินกู้หรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยเรื่องค่าเสียหายต่อไป”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง