คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5412/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

บันทึกเงื่อนไขการชำระหนี้ที่จำเลยตกลงยินยอมผ่อนชำระหนี้ตามเช็คพิพาทกับหนี้ในคดีอื่นอีกพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ หากจำเลยปฏิบัติการชำระหนี้ตามบันทึกครบถ้วนโจทก์จะถอนฟ้องคดีนี้และคดีอื่นทั้งหมด หากจำเลยผิดเงื่อนไขยินยอมให้ยกคดีนี้ขึ้นพิจารณาต่อไปตามที่โจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงกันนั้น เป็นเพียงข้อตกลงที่จำเลยทั้งสองจะชดใช้เงินของโจทก์ที่ยังได้รับชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ไม่มีข้อความตอนใดแสดงว่าโจทก์ตกลง เลิกหรือระงับการดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยทั้งสอง ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นเพียงบันทึกที่จะชดใช้ค่าเสียหายกันในทางแพ่ง มิใช่เป็นการยอมความอันมีผลทำให้สิทธิในการดำเนินคดีอาญาของโจทก์ต้องระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) คดีจึงยังไม่เลิกกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจาการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 90 และ 91 และนับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1895/2540, 3116/2540, 258/2541 หมายเลขแดงที่ 4208/2540, 4220/2540, 4222/2540 และ 4394/2540 ของศาลชั้นต้น
ระหว่างการไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องเช็คฉบับที่ 2 ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูลเฉพาะเช็คฉบับที่ 3 ถึงที่ 6 ให้ประทับฟ้อง และยกฟ้องเช็คฉบับแรก
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ และจำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เมื่อสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไป จึงให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4(1) (2) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 ลงโทษปรับจำเลยที่ 1 ตามเช็คฉบับที่ 3 และที่ 5 กระทงละ 25,000 บาท และตามเช็คฉบับที่ 4 และที่ 6 กระทงละ 20,000 บาท รวม 4 กระทง เป็นเงิน 90,000 บาท ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ตามเช็คฉบับที่ 3 และที่ 5 กระทงละ 5 เดือน และตามเช็คฉบับที่ 4 และที่ 6 กระทงละ 4 เดือน รวม 4 กระทง เป็นจำคุก 18 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 45,000 จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 9 เดือน หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 นับโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4220/2540 และหมายเลขแดงที่ 4394/2540 ของศาลชั้นต้น แต่ที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากคดีอื่นของศาลชั้นต้นนั้น ไม่ปรากฏว่าคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 หรือไม่ จึงให้ยกคำขอ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองออกเช็คพิพาททั้งห้าฉบับ คือ เช็คฉบับแรก ฉบับที่ 3 ถึงฉบับที่ 6 รวมเป็นเงิน 1,872,444.69 บาท ในคดีนี้เพื่อชำระหนี้ค่าเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกหัวลากที่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อไปจากโจทก์และชำระหนี้ค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระแก่โจทก์ ซึ่งเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย เมื่อเช็คทั้งห้าฉบับถึงกำหนดชำระ โจทก์นำเช็คทั้งห้าฉบับเข้าบัญชีของโจทก์เพื่อเรียกเก็บเงิน ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คและใบคืนเช็ค ต่อมาในระหว่างพิจารณาคดีนี้โจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงทำบันทึกเงื่อนไขการชำระหนี้ ลงวันที่ 11 มีนาคม 2541 ตามเอกสารในสำนวนอันดับที่ 52 ว่าจำเลยทั้งสองตกลงยินยอมผ่อนชำระหนี้ตามเช็คพิพาททั้งห้าฉบับในคดีนี้ และเช็คที่จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ในคดีอื่นอีก 7 คดี เป็นต้นเงินทั้งสิ้น 15,633,063.59 บาท โดยตกลงผ่อนชำระเป็นงวดรวม 47 งวด พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินตามเช็คแต่ละฉบับ โดยผ่อนชำระเป็น 4 งวด รวมเป็นเงินดอกเบี้ย 8,389,059.85 แล้วโจทก์จะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยในแต่ละงวด หากจำเลยทั้งสองปฏิบัติการชำระหนี้ตามบันทึกนี้ครบถ้วน โจทก์จะถอนฟ้องคดีนี้และคดีอื่นทั้งหมด แต่หากจำเลยทั้งสองผิดเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่ง จำเลยทั้งสองยินยอมให้ยกคดีนี้ขึ้นพิจารณาต่อไป ต่อมาจำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงขอให้ศาลยกคดีขึ้นพิจารณาต่อไป มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า บันทึกเงื่อนไขการชำระหนี้ตามที่โจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงกันนั้นเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ อันมีผลทำให้สิทธิในการดำเนินคดีอาญาของโจทก์ระงับไปหรือไม่ เห็นว่า บันทึกเงื่อนไขการชำระหนี้ดังกล่าวเป็นเพียงข้อตกลงที่จำเลยทั้งสองจะชดใช้เงินของโจทก์ที่ยังได้รับชำระหนี้ไม่ครบถ้วนเท่านั้น ไม่มีข้อความตอนใดแสดงให้เห็นว่าโจทก์ตกลงเลิกหรือระงับการดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยทั้งสองแต่ประการใด ข้อตกลงตามเอกสารดังกล่าวจึงเป็นเพียงบันทึกที่จะชดใช้ค่าเสียหายกันในทางแพ่งเท่านั้น มิใช่เป็นการยอมความอันมีผลทำให้สิทธิในการดำเนินคดีอาญาของโจทก์ต้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) คดีจึงยังไม่เลิกกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นมานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้ออื่นไม่เป็นสาระแก่คดี ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่า จำเลยทั้งสองออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์หลายฉบับ และธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเช็คทุกฉบับรวมแล้วเป็นหนี้เงินจำนวนมาก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยทั้งสองมานั้นเหมาะสมกับพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น อนึ่ง ที่โจทก์แก้ฎีกาขอให้นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากคดีอื่นนั้น เห็นว่า คดีดังกล่าวไม่ปรากฏหลักฐานว่าศาลมีคำพิพากษาแล้ว จึงไม่นับโทษต่อให้”
พิพากษากลับ

Share