คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5412/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอัยการลงชื่อรับรองอุทธรณ์ว่า มี เหตุสมควรที่ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัย มีผลเท่ากับอธิบดีกรมอัยการ รับรองเอง และการรับรองหาจำต้องรับรองไว้ในตัวคำฟ้องอุทธรณ์ เสมอไปไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงินจำนวน 1,000,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างการพิจารณา นายสรศักดิ์ ลักษณกาญจน์ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์ร่วม
โจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า โจทก์ร่วมได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2532 โดยยื่นคำแถลงมาพร้อมกันอีก 1 ฉบับ ซึ่งแนบคำรับรองของนายวริน รักราชการ ลงวันที่ 12 มกราคม 2532 ว่า เห็นว่ รูปคดีมีเหตุอันสมควรที่ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริง จึงขอรับรองอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมในคดีนี้ และมีลายมือชื่อของนายวริน รักษาราชการ ลงไว้ด้วย โดยระบุตำแหน่งว่า รองอธิบดีรักษาราชการแทนอธิบดีกรมอัยการ ดังนี้ ถือได้ว่าอธิบดีกรมอัยการได้ลงลายมือชื่อรับรองในอุทธรณ์ว่ามีเหตุอันควรที่ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยตามความในมาตรา 22 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 แล้ว แม้ผู้รับรองจะมิใช่อธิบดีกรมอัยการ แต่ก็เป็นรองอธิบดีซึ่งรักษาราชการแทนอธิบดี ย่อมมีผลเท่ากับอธิบดีกรมอัยการรับรองเองและการรับรองเช่นนี้หาจำต้องรับรองไว้ในตัวคำฟ้องอุทธรณ์ดังที่จำเลยอ้างในคำแก้ฎีกาไม่ อุทธรณ์ของโจทก์ร่วมจึงมิใช่อุทธรณ์ที่ต้องห้าม”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share