คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5410/2539

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีส่วนแพ่งมีประเด็นว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่และจำเลยบุกรุกที่ดินพิพาททำให้โจทก์เสียหายหรือไม่แต่ในคดีส่วนอาญาศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า ที่ดินพิพาทจะเป็นของจำเลยหรือไม่ก็ตาม การกระทำของจำเลยยังถือไม่ได้ว่ามีเจตนาบุกรุก ยังไม่ได้วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของใคร ฉะนั้นข้อเท็จจริงในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาจึงไม่มีผลผูกพันคดีส่วนแพ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน2 แปลง ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 351เนื้อที่ประมาณ 42 ไร่ 2 งาน 5 ตารางวาและตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 26 เนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ 6 ตารางวาเมื่อระหว่างวันที่ 18 สิงหาคม 2534 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2534จำเลยทั้งสี่ร่วมกันบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์เพื่อถือการครอบครองที่ดินดังกล่าวโดยใช้รถแทรกเตอร์ (รถไถ) ทำการไถพรวนที่ดินของโจทก์จำนวน 7 บิ้ง เนื้อที่ประมาณ 3 ไร่2 งาน 77 ตารางวา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขาดรายได้จากการทำนาเป็นเงิน 4,500 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน 4,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสี่จะชำระหนี้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า ที่ดินพิพาทและตามฟ้องเป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 อยู่ในที่อาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า นอกจากคดนี้แล้วโจทก์ยังได้ฟ้องจำเลยทั้งสี่เป็นคดีอาญาข้อหาบุกรุกที่ดินพิพาท อันเป็นมูลกรณีเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่ในคดีนี้ จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ซึ่งในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาเมื่อปรากฏว่าในคดีก่อนศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงว่า การกระทำของจำเลยทั้งสี่ยังถือไม่ได้ว่ามีเจตนาบุกรุกที่ดินของผู้อื่น ดังนั้นในคดีนี้ต้องฟังว่า จำเลยทั้งสี่ไม่มีเจตนาที่จะกระทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์และเมื่อโจทก์มิได้นำสืบว่า จำเลยทั้งสี่ได้กระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างไร กรณีจึงฟังไม่ได้ว่า จำเลยทั้งสี่กระทำละเมิดต่อโจทก์ ส่วนที่เกี่ยวกับสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทนั้น แม้จำเลยทั้งสี่จะต่อสู้อ้างสิทธิครอบครองอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องโดยมีคำขอให้ศาลแสดงสิทธิ และมิได้ขอให้ห้ามมิให้จำเลยทั้งสี่เกี่ยวข้องกับที่พิพาท จึงไม่ต้องวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวและประเด็นอื่นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยทั้งสี่มิได้โต้แย้งกันฟังเป็นยุติว่า นอกจากคดีนี้แล้วโจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสี่คดีนี้ว่าบุกรุกที่ดินคือที่ดินพิพาทคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3259/2536ของศาลชั้นต้นโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า จำเลยทั้งสี่ทำนาในที่ดินพิพาทเมื่อประมาณปี 2520 ตลอดมาระยะหนึ่งและจำเลยที่ 1 อ้างว่า ที่ดินพิพาทเป็นของตนมาก่อนเกิดเหตุคดีนี้แล้ว และนายสุรินทร์เบิกความเป็นพยานจำเลยทั้งสี่ว่าพยานขายที่ดินส่วนของพยานให้แก่นายโหล่สามีจำเลยที่ 1 จริงตั้งแต่ปี 2520 ดังนั้นที่จำเลยทั้งสี่ต่อสู้คดีคดีว่าที่ดินพิพาทเป็นของตน จึงมิใช่เป็นการแก้ตัวเพื่อให้พ้นความผิด แต่เป็นเรื่องที่น่ารับฟัง ที่ดินพิพาทจะเป็นของจำเลยทั้งสี่หรือไม่ก็ตาม เห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสี่ยังถือไม่ได้ว่ามีเจตนาบุกรุกที่ดินของผู้อื่นจำเลยทั้งสี่ไม่มีความผิดฐานบุกรุก มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า การพิพากษาคดีส่วนแพ่งคดีนี้จะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 หรือไม่เห็นว่า คดีนี้มีประเด็นว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่และจำเลยทั้งสี่บุกรุกที่ดินพิพาททำให้โจทก์เสียหายหรือไม่เมื่อในคดีส่วนอาญาศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าที่ดินพิพาทจะเป็นของจำเลยทั้งสี่หรือไม่ก็ตามการกระทำของจำเลยทั้งสี่ยังถือไม่ได้ว่ามีเจตนาบุกรุก จึงยังไม่ได้วินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นของใคร ที่จำเลยทั้งสี่ไม่ผิดฐานบุกรุกนั้นก็เพราะขาดเจตนา ฉะนั้น ข้อเท็จจริงในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาจึงไม่มีผลผูกพันถึงคดีนี้ คำพิพากษาส่วนแพ่งต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่ง โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าจำเลยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดหรือไม่ อุทธรณ์ของโจทก์ข้ออื่น ๆ ไม่จำต้องวินิจฉัยที่ศาลชั้นต้นพิพากษานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ไปตามรูปความ

Share