แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งสองนำค่าขึ้นศาลเพิ่มมาชำระภายในกำหนด 30 วัน โจทก์ทั้งสองเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลเห็นสมควรกำหนดโดยได้ส่งคำสั่งให้แก่โจทก์โดยชอบแล้ว จึงเป็นกรณีที่ถือได้ว่าโจทก์ทั้งสองทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) ประกอบด้วยมาตรา 246 ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีอำนาจจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132(1)แต่มาตรา 132 ไม่ได้บังคับว่าศาลต้องจำหน่ายคดีเสมอไปเป็นแต่ให้ศาลใช้ดุลพินิจ คดีนี้โจทก์ทั้งสองได้ยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาเลยกำหนดที่ต้องนำเงินค่าขึ้นศาลมาชำระเพียงวันเดียวซึ่งขณะที่โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็ยังมิได้สั่งจำหน่ายคดี คดีจึงอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 187 ประกอบมาตรา 246 การที่โจทก์ทั้งสองมีความจำนงจะดำเนินคดีอย่างคนอนาถาด้วยเหตุที่ไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาล เมื่อตกเป็นคนยากจนลงภายหลังจะยื่นคำขอในเวลาใด ๆ ก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 156 วรรคแรก คดีมีเหตุสมควรให้โจทก์ทั้งสองได้มีโอกาสดำเนินคดีต่อไป โดยยังไม่สั่งจำหน่ายคดีของโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นทายาทมีสิทธิรับมรดกของนางนิ่ม จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของนางนิ่มตามคำสั่งศาลได้ขอจดทะเบียนโอนที่ดินมรดกตามโฉนดที่ดินเลขที่ 23634 และ 23635จากในฐานะผู้จัดการมรดกโอนให้แก่จำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัวและต่อมาจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่จำเลยที่ 2 โดยไม่สุจริต ทำให้โจทก์ทั้งสองเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันไปจดทะเบียนเพิกถอนการโอนขายที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 23634 และ 23635 และให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการโอนตามโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวจากในฐานะผู้จัดการมรดกให้แก่จำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัว หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่า ได้มีการแบ่งปันทรัพย์มรดกกันแล้วโดยจำเลยที่ 1 และนางจันทร์เป็นเจ้าของที่ดินแปลงพิพาทจำเลยที่ 1 กับนางจันทร์ได้ตกลงขายที่ดินทั้งสองแปลงให้จำเลยที่ 2โดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งสองนำค่าขึ้นศาลเพิ่มมาชำระภายในกำหนด 30 วัน โจทก์ทั้งสองเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลเห็นสมควรกำหนดโดยได้ส่งคำสั่งให้แก่โจทก์โดยชอบแล้วจึงเป็นกรณีที่ถือได้ว่า โจทก์ทั้งสองทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2)ประกอบด้วยมาตรา 246 ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีอำนาจจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 132(1) แต่มาตรา 132 ไม่ได้บังคับว่าศาลต้องจำหน่ายคดีเป็นแต่ให้ศาลใช้ดุลพินิจ คดีนี้โจทก์ทั้งสองได้ยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาเลยกำหนดที่ต้องนำเงินค่าขึ้นศาลมาชำระเพียงวันเดียว ซึ่งขณะที่โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3ก็ยังมิได้สั่งจำหน่ายคดี คดีจึงอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 187 ประกอบมาตรา 246 การที่โจทก์ทั้งสองมีความจำนงจะดำเนินคดีอย่างคนอนาถาด้วยเหตุที่ไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาล เมื่อตกเป็นคนยากจนลงภายหลังจะยื่นคำขอเวลาใด ๆก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคแรกคดีมีเหตุสมควรให้โจทก์ทั้งสองได้มีโอกาสดำเนินคดีต่อไปโดยยังไม่สั่งจำหน่ายคดีของโจทก์
พิพากษายกคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 และให้ศาลชั้นต้นรับคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ทั้งสอง ทำการไต่สวนคำขอดังกล่าวและมีคำสั่งตามรูปคดี แล้วให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่