แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่โจทก์ได้ใช้ผู้อื่นตอกบัตรลงเวลาทำงานแทนให้แก่โจทก์แต่โจทก์ก็ได้เข้าทำงานก่อนเวลาทำงานปกตินั้น มิใช่เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานเป็นกรณีร้ายแรงตามที่กำหนดไว้ ในข้อ 47(3) ของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานข้อ 46 แต่เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์จงใจขัดคำสั่งดังกล่าวจำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้โดยมิ พักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่จำต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ตามป.พ.พ. มาตรา 583.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิดและจำเลยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 3,022.50 บาท เงินบำเหน็จ 44,330 บาทและค่าชดเชย 36,270 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้ใช้ให้นายสาโรช นพตะลุง ซึ่งเป็นพนักงานของจำเลยตอกบัตรลงเวลาเข้าทำงานให้โจทก์ อันเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับ ระเบียบเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยอย่างร้ายแรงซึ่งตามระเบียบดังกล่าวการประทับบัตรแทนกันจะต้องได้รับโทษด้วยการไล่ออกจากงานเพียงสถานเดียว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินใด ๆ จากจำเลย ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จจำนวน33,247.50 บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 3,022.50 บาทและค่าชดเชยจำนวน 36,270 บาท แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยกรณีร้ายแรงนั้น ในข้อนี้ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยมีข้อตกลงตามบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเอกสารหมาย จ.5ว่าในกรณีพนักงานออกจากงานโดยไม่มีความผิดตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47 จำเลยจะจ่ายเงินบำเหน็จให้แก่พนักงานเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย คูณด้วยจำนวนปีที่ทำงานเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2535 ขณะที่โจทก์รอซื้อข้าวอยู่โจทก์ได้ใช้ให้นายสาโรช นพตะลุง ดอกบัตรลงเวลาทำงานแทนให้แก่โจทก์แต่โจทก์ก็ได้เข้าทำงานก่อนเวลาทำงานปกติ ดังนั้นโจทก์มิได้มาทำงานสายในวันเกิดเหตุ จึงไม่ทำให้จำเลยต้องจ่ายค่าจ้างและอาจต้องจ่ายรางวัลในการทำงานของโจทก์มากกว่าความเป็นจริงแต่อย่างใด ความเสียหายที่จำเลยจะพึงได้รับก็คงมีเพียงแต่โจทก์ปฏิบัติฝ่าฝืนระเบียบของจำเลยเท่านั้น การกระทำผิดของโจทก์ดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่ามิใช่เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานเป็นกรณีร้ายแรงตามที่กำหนดไว้ ในข้อ 47(3)ของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน แต่อย่างใดจำเลยจึงต้องจ่ายเงินบำเหน็จให้โจทก์ตามบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเอกสารหมาย ล.5 และต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 46แต่สำหรับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านั้น เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์จงใจขัดคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยซึ่งเป็นนายจ้าง จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้โดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และไม่จำต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 3,022.50 บาท ให้แก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง.