คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5401/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามข้อกล่าวอ้างของโจทก์ที่ว่าจำเลยเป็นผู้จัดสรรที่ดินโดยแบ่งเป็นแปลงย่อยๆขายให้ผู้อื่นซื้อและได้กันทางพิพาทไว้ให้ผู้ซื้อที่ดินแปลงย่อยและบุคคลทั่วไปใช้สอยอันเป็นการอุทิศทางพิพาทให้เป็นทางสาธารณะโจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินต่อจากบุคคลที่ซื้อที่ดินจากจำเลยต่อมาจำเลยปิดกั้นทางพิพาทเป็นเหตุให้โจทก์ไม่อาจใช้ทางพิพาทเข้าออกที่ดินของโจทก์ได้และขอให้บังคับจำเลยเปิดทางพิพาทให้นั้นถือว่าโจทก์ถูกจำเลยโต้แย้งสิทธิแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา55แม้โจทก์ยังไม่ได้ปลูกบ้านในที่ดินโจทก์ก็มีอำนาจฟ้อง โจทก์มีพยานที่ทราบข้อเท็จจริงเป็นอย่างดีต่างเบิกความตรงกันว่าจำเลยได้แบ่งหรือกันทางพิพาทไว้เป็นทางสาธารณะสำหรับคนที่ซื้อที่ดินแปลงย่อยและประชาชนทั่วไปไว้เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะจึงฟังได้ดังที่โจทก์นำสืบส่วนฝ่ายจำเลยต้องห้ามมิให้นำพยานเข้าสืบเพราะไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานกรณีจึงฟังได้ว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะจำเลยปิดกั้นทางดังกล่าวจึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยเคยเป็นเจ้าของที่ดินแปลงใหญ่ ต่อมาจำเลยได้แบ่งแยกออกเป็นหลายแปลงขายให้แก่บุคคลทั่วไป บุคคลที่ซื้อที่ดินจากจำเลยได้ขายที่ดินแปลงหนึ่งให้แก่โจทก์ คือ ที่ดินโฉนดที่ 4568 ในการจัดแบ่งที่ดินนี้จำเลยได้ทำถนนกว้าง 8 เมตร ยาว 200 เมตร เพื่อเป็นทางสาธารณะสำหรับที่ดินทุกแปลงที่แบ่งขายใช้เป็นทางเข้าออกโดยเชื่อมกับทางหลวงแผ่นดิน ต่อมาประมาณเดือนสิงหาคม 2534 จำเลยให้บริวารกั้นทางสาธารณะดังกล่าว โจทก์ประสงค์จะปลูกบ้านบนที่ดินของโจทก์แต่ไม่สามารถให้รถขนส่งวัสดุก่อสร้างเข้าไปในที่ดินได้การกระทำของจำเลยเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยถอนเสาไม้ออกจากทางพิพาทโดยให้จำเลยออกค่าใช้จ่าย หากจำเลยไม่กระทำให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนเสาไม้โดยให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายห้ามมิให้จำเลยหรือบริวารของจำเลยกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการใช้เส้นทางเข้าออกของโจทก์สู่ทางหลวงแผ่นดินสายนครราชสีมา – หนองคาย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยแสดงเจตนาสละทางพิพาทดังกล่าวให้เป็นทางสาธารณะ แต่ผู้ที่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงได้ขออนุญาตจำเลยเดินผ่านเป็นครั้งคราวโจทก์ยังไม่ได้รับความเสียหายเพราะยังไม่ได้ปลูกบ้านในที่ดินของโจทก์ จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยถอนเสาไม้โดยให้จำเลยออกค่าใช้จ่ายหากจำเลยไม่กระทำให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอน โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ห้ามจำเลยหรือบริวารกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนสิทธิการใช้เส้นทางเข้าออกที่ดินโจทก์สู่ทางหลวงแผ่นดินสายนครราชสีมา – หนองคาย
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกมีว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องโดยสรุปว่า จำเลยเป็นผู้จัดสรรที่ดินแปลงใหญ่โดยแบ่งเป็นแปลงย่อย ๆแบ่งขายให้ผู้อื่นซื้อและได้กันทางพิพาทไว้ให้ผู้ซื้อที่ดินแปลงย่อยและบุคคลทั่วไปใช้สอยทางดังกล่าวออกสู่ทางสาธารณะอันเป็นการอุทิศทางพิพาทให้เป็นทางสาธารณะ โจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินต่อจากบุคคลที่ซื้อที่ดินจากจำเลยต่อมาจำเลยได้ปิดกั้นทางพิพาทซึ่งเป็นทางสาธารณะเป็นเหตุให้โจทก์ไม่อาจเข้าออกหรือใช้ทางพิพาทเข้าออกที่ดินของโจทก์ได้เป็นการกระทำละเมิด ขอให้บังคับให้จำเลยเปิดทางพิพาทให้ เห็นว่า ตามข้อกล่าวอ้างของโจทก์ดังกล่าวโจทก์ถูกจำเลยโต้แย้งสิทธิแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 แม้โจทก์ยังไม่ได้ปลูกบ้านในที่ดิน โจทก์มีอำนาจฟ้องส่วนจะเป็นความจริงตามข้ออ้างหรือไม่ ต้องนำสืบพยานในชั้นพิจารณาต่อไป ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นจำเลยฎีกาประการสุดท้ายว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือไม่ ตามทางนำสืบของโจทก์ซึ่งมีตัวโจทก์ นายสุพรรณ เนตรปัญจะ นายสนั่น มณีภาคนางมาลัย สารสิทธิ และนายจงรัก ภักดีไทย ต่างเบิกความตรงกันว่าในการที่จำเลยจัดสรรที่ดินแบ่งขายให้บุคคลทั่วไปจำเลยได้แบ่งหรือกันทางพิพาทกว้าง 8 เมตร ยาวประมาณ 200 เมตรไว้เป็นทางสาธารณะสำหรับคนที่ซื้อที่ดินแปลงย่อยและประชาชนทั่วไปไว้เป็นทางเข้าออกสู่ทางสาธารณะ พยานดังกล่าวเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดสรรที่ดินของจำเลย เช่น นายสุพรรณเป็นผู้ซื้อที่ดินแปลงหนึ่งจากจำเลย นายสนั่นเป็นเจ้าของที่ดินเดิมซึ่งได้ขายให้โจทก์ ส่วนนายจงรักมีบิดาซึ่งเคยจัดสรรที่ดินร่วมกับจำเลย ล้วนแต่เป็นบุคคลที่ทราบข้อเท็จจริงเป็นอย่างดีพยานดังกล่าวเบิกความสอดคล้องกันจึงฟังได้ดังที่โจทก์นำสืบฝ่ายจำเลยต้องห้ามมิให้นำพยานเข้าสืบจึงฟังว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะการที่จำเลยปิดกั้นทางดังกล่าวเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share