แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีอาญาศาลพิพากษาว่าคดีโจทก์ไม่พอฟังว่า จำเลยได้รู้เห็นสมคบในการรับโอนที่ดินโดยทุจริต และจำเลยก็นำสืบได้สมว่า ซื้อไว้โดยสุจริตใจแล้วชี้ขาดว่า หลักฐานไม่พอฟังว่า จำเลยเกี่ยวข้องกับการทุจริตนั้น ย่อมหมายความแต่เพียงว่า จำเลยมิได้มีเจตนาทุจริตอันเป็นผิดในคดีอาญาเท่านั้นจะฟังว่าจำเลยได้รับโอนที่ดินนั้นโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ได้
คำว่าสุจริตตามกฎหมายลักษณะอาญาต่างกับคำว่าสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่นในเรื่องได้ทรัพย์มาสำหรับตามกฎหมายลักษณะอาญาหมายความเพียงว่า ไม่รู้สึกตนว่าทำการติดต่อกับผู้ร้าย ส่วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หมายความว่า ไม่รู้หรือไม่ควรจะรู้ถึงความบกพร่องแห่งกรรมสิทธิ์ที่มีมาในอดีต
การพิพากษาคดีส่วนแพ่ง จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาเพียงไร
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่รายพิพาทจำเลยได้ทำใบมอบฉันทะปลอมลายมือชื่อโจทก์ไปแสดงต่อเจ้าพนักงานแล้วโอนขายที่แปลงนี้แก่นายสังข์ ๆ โอนต่อให้นายเนย นายเนยทำจำนองแก่นางสมบุญขอให้ศาลทำลายใบมอบฉันทะและสัญญาซื้อขายจำนองนั้นเสีย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีเกี่ยวกับที่แปลงนี้ อัยการได้เป็นโจทก์ฟ้องนายเนยจำเลยในคดีนี้หาว่าปลอมหนังสือและฉ้อโกงต่อศาลแล้วศาลพิพากษาฟ้อง จึงต้องฟังว่านายเนยจำเลยได้ซื้อไว้โดยสุจริตเสียค่าตอบแทนตามข้อเท็จจริงในคดีอาญา ไม่มีทางที่โจทก์จะขอให้ที่ดินกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ในคดีอาญาเรื่องนั้น นางยิ้มโจทก์ในคดีนี้มิได้เป็นคู่ความด้วย และไม่มีโอกาสนำพยานสืบตามประเด็นที่กล่าวหานั้นเลย จะฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญามาใช้กับคดีนี้ไม่ได้ พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาพิพากษาใหม่
นางเนย นางสมบุญ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ประเด็นในคดีนี้คงมีแต่เพียงว่า ศาลจะต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลทหารนั้นมาวินิจฉัยคดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องนี้ได้เพียงใด ข้อวินิจฉัยของศาลทหารมีว่า “เฉพาะหลักฐานพยานโจทก์ย่อมฟังได้ว่า การโอนหน้าโฉนดรายนี้จากนางยิ้มมาเป็นของนายวอนนั้น เนื่องจากการปลอมหนังสือและฉ้อโกงของบุคคลคณะหนึ่งร่วมกันแต่ไม่ปรากฏว่าจำเลย (คือนายเนย) ผู้รับโอนต่อมาคนหนึ่งได้ร่วมการกระทำผิดด้วยตอนใด ฯลฯ ส่วนที่จำเลยสืบได้สมว่าได้ซื้อไว้โดยสุจริตใจ และนายสังข์ผู้ขายก็มีตัวอยู่ตามปากคำนายมี คดีโจทก์ไม่มีหลักฐานพอจะฟังว่า จำเลยเกี่ยวข้องกับการทุจริตรายนี้ ฯลฯ” ศาลฎีกาเห็นว่าการรับโอนโดยสุจริตและไม่สุจริตในกฎหมายแพ่งย่อมแตกต่างกันเป็นคนละอย่างกับความทุจริตหรือไม่ทุจริตในกฎหมายลักษณะอาญากล่าวคือ คำว่าโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เท่านั้น หมายแต่เพียงว่า มิได้รู้เท่าถึงการที่ไม่มีสิทธิหรือความบกพร่องในสิทธินั้นแต่ประการใดเลยส่วนความทุจริตตามกฎหมายลักษณะอาญานั้นหมายความแต่เพียงว่า การแสวงหาประโยชน์อันมิชอบด้วยกฎหมาย และเสียหายแก่ผู้อื่นด้วย ฉะนั้นที่ศาลอาญาชี้ขาดว่า คดีโจทก์ไม่พอฟังว่าจำเลยเกี่ยวข้องกับการทุจริตรายนี้จึงจะฟังว่า จำเลยได้รับโอนมาโดยสุจริตสำหรับมาใช้กับคดีแพ่งยังไม่ได้ ส่วนข้อวินิจฉัยที่ว่า “จำเลยสืบได้สมว่าซื้อโดยสุจริตใจนั้น” ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลส่วนอาญานั้นหมายความเพียงแต่ว่าจำเลยได้ซื้อไว้โดยไม่รู้สึกตนว่า ได้ทำการติดต่อกับผู้ร้าย เป็นเรื่องสุจริตใจซึ่งตรงกันข้ามกับความทุจริตตามความหมายของกฎหมายลักษณะอาญาดังกล่าวแล้วเท่านั้น แต่สำหรับความสุจริตในทางแพ่งย่อมหมายความถึงความรู้หรือไม่ควรจะรู้ถึงความบกพร่องแห่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่มีมาในอดีตด้วย ศาลส่วนอาญาหาได้มุ่งชี้ถึงข้อเท็จจริงในเรื่องความสุจริตของนายเนยจำเลยตามนัยทางแพ่งนี้ไม่ จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์