คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 540/2490

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีอาญาศาลพิพากษาว่าคดีโจทก์ไม่พอฟังว่า จำเลยได้รู้เห็นสมคบในการรับโอนที่ดินโดยทุจจริต และจำเลยก็นำสืบได้สมว่า ซื้อไว้โดยสุจจริตใจ แล้วชี้ขาดว่าหลักฐานไม่พอฟังว่า จำเลยเกี่ยวข้องกับการทุจจริตนั้น ย่อมหมายความแต่เพียงว่า จำเลยมิได้มีเจตนาทุจจริตอันเป็นผิดในคดีอาญาเท่านั้นจะฟังว่าจำเลยได้รับโอนที่ดินนั้นโดยสุจจริตตามประมวลแพ่งฯ ไม่ได้
คำว่าสุจจริตตามกฎหมายอาญาต่างกับคำว่าสุจจริตตามกฎหมายแพ่ง เช่นในเรื่องได้ทรัพย์มา สำหรับตามกฎหมายอาญาหมายความเพียงว่า ไม่รู้สึกตนว่าทำการติดต่อกับผู้ร้ายส่วนตามกฎหมายแพ่งหมายความว่าไม่รู้หรือไม่ควรจะรู้ถึงความบกพร่องแห่งกรรมสิทธิ์ที่มีมาในอดีต
การพิพากษาคดีส่วนแพ่ง จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญาเพียงไร

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่รายพิพาทจำเลยได้ทำใบมอบฉันทะปลอมลายมือชื่อโจทก์ไปแสดงต่อเจ้าพนักงานแล้วโอนขายที่แปลงนี้แก่นายสังข์ๆ โอนต่อให้นาย+ นาย+ทำจำนองแก่นางสมบุญ ขอให้ศาลทำลายใบมอบฉันทะและสัญญาซื้อขายจำนองนั้นเสีย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีเกี่ยวกับที่แปลงนี้ อัยยการได้เป็นโจทก์ฟ้องนายเนยจำเลยในคดีนี้หาว่าปลอมหนังสือและฉ้อโกง ต่อศาลแล้ว ศาลพิพากษาฟ้อง จึงต้องฟังว่านายเนยจำเลยได้ซื้อไว้โดยสุจจริตเสียค่าตอบแทนตามข้อเท็จจริงในคดีอาญา ไม่มีทางที่โจทก์จะขอให้ที่ดินกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ในคดีอาญาเรื่องนั้น นางยิ้มโจทก์ในคดีนี้มิได้เป็นคู่ความด้วย และไม่มีโอกาสนำพะยานสืบตามประเด็นที่กล่าวหานั้นเลย จะฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญามาใช้กับคดีนี้ไม่ได้ พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาพิพากษาใหม่
นายเนย, นางสมบุญ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ประเด็นในคดีนี้คงมีแต่เพียงว่า ศาลจะต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลทหารนั้นมาวนิจฉัยคดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องนี้ได้เพียงใด ข้อวินิจฉัยของศาลทหารมีว่า “ฉะเพาะหลักฐานพะยานโจทก์ย่อมฟังได้ว่า การโอนหน้าโฉนดรายนี้จากนางยิ้มมาเป็นของนายวอนนั้น เนื่องจากการปลอมหนังสือและฉ้อโกงของบุคคลคณะหนึ่งร่วมกัน แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลย (คือนายเนย) ผู้รับโอนต่อมาคนหนึ่งได้ร่วมการกระทำผิดด้วยตอนใด ฯลฯ ส่วนที่จำเลยสืบได้สมว่าได้ซื้อไว้โดยสุจจริตใจ และนายสังข์ผู้ขายก็มีตัวอยู่ตามปากคำนายมี คดีโจทก์ไม่มีหลักฐานพอจะฟังว่า จำเลยเกี่ยวข้องกับการทุจจริตรายนี้ ฯลฯ ศาลฎีกาเห็นว่าการรับโอนโดยสุจจริตและไม่สุจจริตในกฎหมายแพ่งย่อมแตกต่างกันเป็นคนละอย่างกับความทุจจริตหรือไม่ทุจจริตในกฎหมายลักษณะอาญา กล่าวคือ คำว่าโดยสุจจริตตามประมวลแพ่งฯ เท่านั้นหมายแต่เพียงว่า มิได้รู้เท่าถึงการที่ไม่มีสิทธิ์หรือความบกพร่องในสิทธิ์นั้นแต่ประการใดเลยส่วนความทุจจริตตามกฎหมายลักษณะอาญานั้นหมายความแต่เพียงว่าการแสวงหาประโยชน์อันมิชอบด้วยกฎหมาย และเสียหายแก่ผู้อื่นด้วย ฉะนั้นที่ศาลอาญาชี้ขาดว่า คดีโจทก์ไม่พอฟังว่าจำเลยเกี่ยวข้องกับการทุจริตรายนี้ จึงจะฟังว่าจำเลยได้รับโอนมาโดยสุจจริตสำหรับมาใช้กับคดีแพ่งยังไม่ได้ ส่วนข้อวินิจฉัยที่ว่า “จำเลยสืบได้สมว่าซื้อโดยสุจจริตใจนั้น” ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลส่วนอาญานั้นหมายความเพียงแต่ว่าจำเลยได้ซื้อไว้โดยไม่รู้สึกตนว่า ได้ทำการติดต่อกับผู้ร้าย เป็นเรื่องสุจจริตใจซึ่งตรงกันข้ามกับความทุจจริตตามความหมายของกฎหมายลักษณะดังกล่าวแล้วเท่านั้น แต่สำหรับความสุจจริตในทางแพ่งย่อมหมายความถึงความรู้หรือไม่ควรจะรู้ถึงความบกพร่อง+กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่มีมาในอดีตด้วย ศาลส่วนอาญา+ได้มุ่งชี้ถึงข้อเท็จจริงในเรื่องความสุจจริตของนายเนยจำเลยตามนัยทางแพ่งนี้ไม่ จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share