แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ราษฎรทำผิดฐานขัดคำสั่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดในเวลาที่ใช้พระราชบัญญัติที่บัญญัติวิเคราะห์ศัพท์ให้ราษฎรในเขตกฎอัยการศึกเป็นทหาร ต่อมามีพระราชบัญญัติวิเคราะห์ศัพท์ใหม่ ให้ทหารหมายความเฉพาะผู้อยู่ในอำนาจกฎหมายฝ่ายทหาร ดังนี้ถือว่า กฎหมายใหม่เป็นคุณแก่จำเลย ต้องยกฟ้องตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 8
เดิมมีคำสั่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดให้แจ้งปริมาณและสถานที่เก็บลวดหนาม ต่อมามีประกาศกรมบัญชาการทัพใหญ่ให้ยกเลิกคำสั่งนั้นดังนี้ไม่ถือว่าเป็นการยกเลิกความผิด หรือมีกฎหมายต่างกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ขณะจำเลยทำผิดจำเลยเป็นทหาร ผู้บัญชาการทหารสูงสุดสั่งให้แจ้งประมาณและสถานที่เก็บลวดหนาม จำเลยมีลวดหนามแต่ไม่แจงปริมาณและสถานที่เก็บ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญาทหาร ร.ศ. 130 มาตรา 4 และ 30(2)
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า ขณะทำผิดจำเลยเป็นทหารแต่ต่อมามีกฎหมายยกเลิกวิเคราะห์ศัพท์นั้น จำเลยไม่เป็นทหารแล้วจึงต้องใช้กฎหมายใหม่ จึงพิพากษาให้ยกฟ้องของโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาตัดสินว่า ตามที่ศาลอุทธรณ์กล่าวว่าต่อมามีประกาศกรมบัญชาการทัพใหม่ให้ยกเลิกคำสั่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดจึงเป็นการยกเลิกความผิดนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย แต่ศาลฎีกาเห็นว่าเดิมมีพระราชบัญญัติให้วิเคราะห์ศัพท์คำว่า ทหารหมายถึงบุคคลที่อยู่ในเขตใช้กฎอัยการศึกด้วย ต่อมามีพระราชบัญญัติ 2487 ยกเลิกวิเคราะห์ศัพท์นั้น และบัญญัติใหม่ ให้หมายถึงเฉพาะผู้อยู่ในอำนาจกฎหมายฝ่ายทหาร เป็นการยกเลิกหลักการในกฎหมายเดิมที่ให้ราษฎรสามัญเป็นทหาร จึงต้องใช้กฎหมายที่เป็นคุณแก่จำเลยรูปคดีต้องด้วยกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 8 จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์